ประเทศไทยประกาศยกเว้นภาษีรายได้จากการขายสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์(BTC) เป็นเวลา 5 ปี เพื่อปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลของภูมิภาค โดยมาตรการใหม่นี้ได้รับการจับตามองจากทั้งนักลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศในฐานะก้าวสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโต
เมื่อวันที่ 25 กระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำการซื้อขายผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) จะได้รับสิทธิ ‘ยกเว้นภาษีกำไรจากการขาย’ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2025 ถึง 31 ธันวาคม 2029 โดยจุลาพร อมรวิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการคลังระบุว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก
จุลาพรกล่าวเพิ่มเติมว่า การให้สิทธิภาษีในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลดภาระทางภาษีเท่านั้น แต่ยังต้องการนำระบบสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจและกฎระเบียบในประเทศ หนึ่งในจุดเด่นของคริปโตที่รัฐบาลไทยให้ความสนใจคือ *ศักยภาพด้านการระดมทุน* ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
จากการประมาณการของกระทรวงการคลัง มาตรการครั้งนี้อาจช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้หลายหมื่นล้านบาท และอาจเพิ่มรายได้ภาษีอย่างน้อย 1,000 ล้านบาทในระยะถัดไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการลงทุนด้านดิจิทัลของรัฐบาลว่าไม่ได้เน้นระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายการเติบโตระยะยาวอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะมีผลใช้เฉพาะกรณีที่ *ผู้ให้บริการทรัพย์สินดิจิทัลปฏิบัติตามมาตรการต่อต้านการฟอกเงิน (AML)* ตามแนวทางขององค์กรกำกับดูแลด้านการฟอกเงินโลก (FATF) เท่านั้น โดยเฉพาะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งหมายความว่า แพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือมีลักษณะ 'ไร้ศูนย์กลาง' จะไม่สามารถเข้าข่ายได้รับสิทธิยกเว้นภาษีในครั้งนี้
ในด้านการกำกับดูแล ตลาดไทยยังคงเข้มงวดต่อผู้ให้บริการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก.ล.ต. ประกาศว่าจะดำเนินการ 'บล็อกการเข้าถึง' กับแพลตฟอร์มชื่อดังระดับโลกอย่าง ไบบิท(Bybit), โอเคเอ็กซ์(OKX) และคอยน์เอ็กซ์(CoinEx) ที่ดำเนินกิจการโดยไม่มีใบอนุญาตในประเทศ โดยการบล็อกจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนเป็นต้นไป
ในขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มอย่างคูคอยน์(KuCoin) ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. และจัดตั้งบริษัทในประเทศอย่างเป็นทางการเพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจแล้ว ส่วนบริษัทผู้ออกเหรียญสเตเบิลคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเทเธอร์(Tether) ก็ได้เริ่มทำตลาดในไทย ด้วยผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีทองคำเป็นหลักประกันอย่าง ‘เทเธอร์โกลด์’
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลยังเคยแสดงความตั้งใจให้ *นักท่องเที่ยวสามารถใช้คริปโตในการชำระเงิน* ได้ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายปัจจุบันที่ต้องการผลักดัน ‘ดิจิทัลสินทรัพย์’ เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิดการเป็น ‘ศูนย์กลางการเงินดิจิทัล’ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในแผนงานระยะยาวของประเทศไทย
ความคิดเห็น 0