รัฐบาลเคนยาเตรียมเก็บภาษีจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในอัตรา *1.5% ต่อธุรกรรม* ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลของทวีปแอฟริกาเข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเป้าหมายของเขตการค้าเสรีแอฟริกา (AfCFTA) ที่ต้องการรวมตลาดในภูมิภาคเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ความไม่แน่นอนจึงเริ่มปกคลุมเหนืออุตสาหกรรมคริปโตฯ ทั่วทั้งภูมิภาค
แม้มาตรการเก็บภาษีจะให้รายได้แก่รัฐในระยะสั้น แต่ *ความคิดเห็น* จากหลายฝ่ายกลับชี้ว่าอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสตาร์ตอัป แรงงานฟรีแลนซ์ และผู้ผลิตเนื้อหาในเคนยาอย่าง NFT และศิลปินดิจิทัล โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่พึ่งพาคริปโตฯ ในชีวิตประจำวัน หากธุรกรรมต่าง ๆ ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายใหม่ย่อมส่งผลต่อรายได้โดยตรง นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า มาตรการนี้เสมือนสร้าง ‘กำแพง’ ที่ผลักคนทำงานและเทคโนโลยีออกไปสู่ต่างประเทศ
เพื่อรับมือกับผลกระทบ เคนยายังได้เสนอแนวทาง 4 ประการผ่านคณะกรรมาธิการการคลังแห่งชาติ ได้แก่ การป้องกันภาษีซ้ำซ้อนโดยการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านกฎระเบียบสินทรัพย์ดั้งเดิม, การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อทดลองนวัตกรรม เช่น คาร์บอนเครดิตและสเตเบิลคอยน์, การเพิ่มความโปร่งใสผ่านการตรวจสอบแบบเปิดและการพิสูจน์ด้วยคริปโตกราฟฟี และสุดท้ายคือการเน้นส่งเสริมให้ผู้ใช้งาน *“เข้าใจและเต็มใจ”* เสียภาษี แทนการบังคับใช้แบบเข้มงวดทันที
*ในอีกด้านหนึ่ง* รัฐบาลเคนยายังกำลังผลักดันร่างกฎหมาย ‘ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล 2025’ โดยตั้งเป้าเสริมความเข้มแข็งในเรื่องการป้องกันฟอกเงิน (AML) และต่อต้านการสนับสนุนการก่อการร้าย (CFT) อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้กลับถูกวิจารณ์ว่ายังมีจุดอ่อนด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของประชาชน ซึ่งแม้แต่ในที่ประชุมพิจารณาร่างกฎหมายการคลังปี 2025 ก็ยังมีผู้แทนราษฎรบางส่วนออกมาแสดงความกังวลในประเด็นนี้
แม้อัตราภาษี 1.5% สำหรับการซื้อขายคริปโตฯ — ลดลงจากอัตราเดิม 3% — อาจช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลในระยะสั้น แต่*คำเตือน*จากหลายฝ่ายระบุว่า มาตรการนี้อาจกลายเป็น *“ดาบสองคม”* ที่ทำลายโอกาสของเคนยา และแอฟริกาโดยรวม ในการเติบโตเป็นศูนย์กลางฟินเทคและการทดลองเงินดิจิทัลของโลก หากกฎหมายเข้มงวดเกินไป อาจกลายเป็นการปิดประตูสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลกในอนาคตอย่างน่าเสียดาย
ความคิดเห็น 0