เทเธอร์(Tether) บริษัทออกสเตเบิลคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยอมรับจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในการให้ความร่วมมือในการอายัดเงินคริปโตมูลค่าราว 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,127 พันล้านวอน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงด้านการลงทุนคริปโต ถือเป็นกรณีอายัดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ (USSS) ตามรายงานเมื่อวันที่ 24
เงินที่ถูกอายัดเป็นสินทรัพย์ในรูปแบบยูเอสดีที(USDT) ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่เทเธอร์ออกให้ โดยกระทรวงยุติธรรมระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรมที่อ้างตัวเป็นผู้ให้บริการลงทุนในคริปโต และก่อให้เกิดความเสียหายแก่เหยื่อกว่า 400 ราย สำนักงานสืบสวนสาขาซานฟรานซิสโกของ USSS เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมของขบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงการหลอกลวงอันซับซ้อนที่ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนและส่งผลร้ายแรงต่อการเงินของเหยื่อ
จากเหตุการณ์นี้ เทเธอร์เน้นย้ำถึงความพยายามในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยเฉพาะในบริบทที่สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าผลักดัน *กฎหมาย GENIUS* ซึ่งจะบังคับให้ผู้ออกสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ ต้องมีฟังก์ชัน *ระงับทรัพย์สิน* (asset freeze) ในตัว เห็นได้ชัดว่าเทเธอร์กำลังแสดงบทบาทอย่างแข็งขันในการปรับตัวต่อข้อกำหนดนี้ แม้บริษัทจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่เอลซัลวาดอร์ แต่ก็ยังคงเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่อยู่
พาโอโล อาร์โดอิโน(Paolo Ardoino) ซีอีโอของเทเธอร์กล่าวว่า “เรากำลังสร้างมาตรฐานด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้สเตเบิลคอยน์ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด”
*ความคิดเห็น*: กรณีนี้เป็นสัญญาณว่าอุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตแบบไร้ขอบเขตสู่การอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน เทเธอร์สามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อกฎระเบียบและการมีส่วนร่วมในความมั่นคงทางการเงินของระบบดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับบริษัทอื่นๆ ที่จะต้องเตรียมพร้อมต่อบทบาทใหม่ในระบบการเงินยุคคริปโต
ความคิดเห็น 0