บริษัทวิจัยด้านคริปโตชั้นนำอย่างไคลน์ แลบส์(Klein Labs) วิเคราะห์ว่าเกาหลีใต้กำลังกลายเป็น ‘ศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย’ โดยอ้างอิงจากรายงานล่าสุดที่ชี้ว่าตลาดคริปโตของประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และนโยบายภาครัฐ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ ค่าเงินวอนที่อ่อนตัว ตัวเลือกการลงทุนแบบดั้งเดิมที่จำกัด และแรงผลักดันจากคนรุ่นใหม่ที่โหยหาโอกาส
รายงานระบุว่า มูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดในเกาหลีใต้ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 74,800 ล้านดอลลาร์ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ 5 แพลตฟอร์มเทรดหลักมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันกว่า 73,000 ล้านดอลลาร์ และปริมาณการซื้อขายรายวันพุ่งแตะ 10,700 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมอย่างตลาดหลักทรัพย์โคเรีย (KRX) นอกจากนี้ ยังพบว่า ‘ค่าพรีเมียมกิมจิ’ หรือส่วนต่างราคาคริปโตในเกาหลีใต้อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะใน *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* ที่มักสูงกว่าราคาตลาดโลกถึง 10% ซึ่ง *ไคลน์ แลบส์* มองว่าสะท้อนถึง “บรรยากาศการลงทุนภายใต้ข้อจำกัดด้านเงินทุนที่ไหลเข้า-ออกนอกประเทศและแนวโน้มซื้อแบบ FOMO ของนักลงทุน”
ความร้อนแรงของตลาดคริปโตในประเทศถูกผลักดันจากแรงจูงใจในการแสวงหาผลตอบแทนที่ตลาดแบบดั้งเดิมไม่สามารถตอบสนองได้ เช่น ราคาที่อยู่อาศัยในเขตเมืองหลวงที่พุ่งสูง และอัตราดอกเบี้ยที่แพงทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นสิ่งที่เอื้อมถึงยาก ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ในปี 2024 ติดลบ -8.03% เมื่อเทียบกับดัชนีระดับโลก ความไม่ดึงดูดใจของสินทรัพย์เหล่านี้เปิดทางให้คริปโตโดดเด่นในฐานะตัวเลือกใหม่ที่มี ‘ต้นทุนเข้าต่ำ สภาพคล่องสูง และเข้าถึงได้ทั่วโลก’
รายงานของ *ไคลน์ แลบส์* ยังเน้นว่า คนรุ่น *MZ (Millennial + Gen Z)* ซึ่งเผชิญกับสภาวะไร้โอกาสทางเศรษฐกิจ ได้นำคริปโตมาใช้เป็นช่องทางในการยกระดับสถานะทางสังคมและสะสมความมั่งคั่ง โดยกลุ่มนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทตามแนวคิดการลงทุน ได้แก่ สาย ‘YOLO (You Only Live Once)’ และ ‘YONO (You Only Need One)’ ทั้งนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงการเก็งกำไรเสี่ยงสูง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ทางหนีเชิงอารมณ์และเครื่องมือในการตีความอนาคตทางเศรษฐกิจ” ในสังคมที่กำลังให้ความสำคัญกับแนวคิด ‘เสรีภาพทางการเงิน’
ด้านภาวะเศรษฐกิจภาพรวมยังมีบทบาทสำคัญ โดยอัตราแลกเปลี่ยนวอนต่อดอลลาร์พุ่งขึ้นถึง 1,473.75 วอน/ดอลลาร์ในวันที่ 1 เมษายน 2025 ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009 ขณะเดียวกัน ภาวะดอกเบี้ยต่ำส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรและเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ไม่จูงใจ *ไคลน์ แลบส์* วิเคราะห์ว่า ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คริปโตจึงถูกมองเป็นทั้งเครื่องมือเก็บมูลค่าระดับโลกและสินทรัพย์สำหรับป้องกันความเสี่ยง ซึ่งตอบสนองต่อ ‘สัญชาตญาณการปกป้องทรัพย์สิน’ ของประชาชน
สิ่งที่ทำให้เกาหลีใต้แตกต่างจากตลาดเอเชียอื่น ๆ คือจังหวะการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่รวดเร็ว หลังประธานาธิบดี *อีแจมยอง* เข้ารับตำแหน่ง แนวทางสนับสนุนตลาดเริ่มชัดเจนมากขึ้น เช่น นโยบายออก *สเตเบิลคอยน์* ผูกกับวอน, ETF แบบรายวัน, และการออกโทเคนลักษณะหลักทรัพย์(STO) รวมถึงการเลื่อนกำหนดเก็บภาษีและปรับเพดานการยกเว้นภาษี ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกขึ้น ซึ่ง *ความคิดเห็น* ชี้ว่า กรอบนโยบายที่ยืดหยุ่นนี้สร้างจุดต่างชัดเจนกับตลาดที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมอย่างญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ ทำให้เกาหลีใต้มีศักยภาพกลายเป็น ‘ศูนย์กลางการลงทุนใหม่’ ในแถบเอเชีย
นอกจากภาครัฐแล้ว โครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศยังแสดงจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศมีประสบการณ์ลงทุนในคริปโต เมื่อผสานกับแพลตฟอร์มกระจุกตัวสูง จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรมการซื้อขายแบบเฉพาะในประเทศหรือ ‘เหรียญกิมจิ’ โดยเฉพาะ *อัพบิต* และ *บิทซัม* ซึ่งร่วมกันครองส่วนแบ่งตลาดถึง 98% และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดราคาโทเคนในประเทศ
ขณะเดียวกัน บริษัทแดนโสมขนาดใหญ่ เช่น ซัมซุง, คา카오 และดูนามู ต่างลงมาเล่นในเกมนี้อย่างจริงจัง ทั้งในฐานะผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน กระเป๋าคริปโต แพลตฟอร์มเทรด ไปจนถึงฮาร์ดแวร์ โดยการสนับสนุนจากกลุ่มทุนเหล่านี้ยังช่วยผลักดันการเติบโตของโปรเจกต์สัญชาติเกาหลี เช่น *เคลย์ตัน*, *ไคอา(KAIA)* และ *สตอรีโปรโตคอล* ซึ่งเป็น Layer1 และโครงการ IP ระดับประเทศ
ในตอนท้ายรายงาน *ไคลน์ แลบส์* มองว่าความสำเร็จของตลาดคริปโตเกาหลีใต้ไม่ใช่เพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่สะท้อนปัจจัยผสมผสานทั้งด้านนโยบาย โครงสร้างเศรษฐกิจ และพฤติกรรมเจเนอเรชัน โดยคาดว่าในอนาคต ความเติบโตแบบ *โครงสร้าง* จะเกิดขึ้นในหลายมิติ ทั้ง DeFi, RWA และการผสานเทคโนโลยี *AI + บล็อกเชน* อีกทั้งยังระบุว่า “โมเดล Web3 เวอร์ชันเกาหลี” อาจกลายเป็นต้นแบบสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกในยุคต่อไปอีกด้วย.
ความคิดเห็น 0