ออสเตรเลียคุมเข้มตู้ ATM คริปโต จำกัดวงเงิน 5,000 ดอลลาร์ หลังพบเหยื่อถูกหลอกเพียบ

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศจำกัดการใช้งานตู้ ATM คริปโตทั่วประเทศ หลังพบข้อมูลชวนช็อกจากการตรวจสอบเชิงลึกว่า ผู้ใช้กลุ่มหลักที่ใช้งานบ่อยไม่ใช่ผู้ก่ออาชญากรรมอย่างที่สงสัย แต่กลับเป็น ‘ผู้เสียหาย’ จากการหลอกลวงทางคริปโตจำนวนมาก สถานการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำว่า หน่วยงานกำกับดูแลยังตามไม่ทันพฤติกรรมอาชญากรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในแวดวงคริปโต

เมื่อวันที่ 24 ตามเวลาท้องถิ่น สำนักงานวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของออสเตรเลีย(AUSTRAC) ได้ร่วมกับตำรวจรัฐและกลุ่มปฏิบัติการคริปโตออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ดำเนินการสืบสวนผู้ใช้งานตู้ ATM คริปโตความถี่สูงกว่า 90 รายทั่วประเทศ โดยพบว่าในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็น ‘เหยื่อ’ จากการถูกหลอกให้โอนเครือข่าย ไม่ใช่ผู้มีเจตนาทุจริต แบรนดอน โทมัส(Brendan Thomas) ผู้อำนวยการ AUSTRAC ระบุว่า “แม้ในการตรวจสอบบางรายการจะชี้ถึงกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย แต่ในหลายกรณีผู้ใช้กลับเป็นเพียงผู้ที่โดนหลอกโดยไม่รู้ตัว”

เคสความเสียหายมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น หญิงรายหนึ่งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังถูกโกง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบถาม ขณะที่หญิงอีกคนตกเป็นเหยื่อของ ‘รักลวง’ จนสูญเงินกว่า 430,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 5.9 ล้านบาท) และชายวัย 70 ปีหลงเชื่อโฆษณาการลงทุนสูญเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 2.7 ล้านบาท) โดยโทมัสกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่สูญเสียทั้งทรัพย์สินทั้งหมดไปแบบไร้โอกาสกู้คืน”

เพื่อลดความเสียหายเร่งด่วน AUSTRAC ได้สั่งใช้มาตรการฉุกเฉินทันที ได้แก่ การจำกัดวงเงินฝากตู้ ATM คริปโตไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 695,000 บาท), การยืนยันตัวตนผู้ใช้อย่างเข้มงวด และการแสดงข้อความ ‘เตือนการหลอกลวง’ บนหน้าจออุปกรณ์ โดยมีศูนย์ประสานงานปราบปรามอาชญากรรมแบบผสม(JPC3) ที่นำโดยตำรวจกลางออสเตรเลียเป็นผู้บูรณาการปฏิบัติการทั่วประเทศ

‘ตู้ ATM คริปโต’ กำลังกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงทางการเงินในระดับสังคม โดยกลุ่มเหยื่อส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุหรือเยาวชนที่ยังไม่คุ้นเคยกับระบบการเงินดิจิทัล ความเร่งด่วนในการรับมือจึงสูงกว่าที่คาด โทมัสเตือนเพิ่มเติมว่า “การนำเงินสดไปฝากเข้าตู้ ATM คริปโตถือว่ามี ‘ความเสี่ยงในเชิงโครงสร้าง’ บุคคลทั่วไปควรตระหนักและระมัดระวังอยู่เสมอ”

เมื่ออาชญากรรมในวงการคริปโตมีแนวโน้มซับซ้อนขึ้น รัฐบาลออสเตรเลียกำลังพิจารณาขยายการควบคุมไปยัง ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ และ ‘แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต’ ด้วย เพื่อสกัดการฉ้อโกงต้นทาง ขณะเดียวกัน สังคมเองก็เริ่มตระหนักว่าจำเป็นต้อง ‘ตั้งการ์ด’ ต่อข้อเสนอการลงทุนลวง และไม่โอนเงินซ้ำซากให้บุคคลที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันตนเองจากการเป็นเหยื่อรายถัดไปในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไร้ขอบเขตแน่ชัด