ริปเปิล(XRP) พุ่งทะลุ 2.20 ดอลลาร์ ตลาดจับตาสัญญาณกลับตัวรอบใหม่

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่กลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง ได้ส่งผลให้ราคาของริปเปิล(XRP) พุ่งทะยานขึ้นตาม โดยล่าสุดสามารถทะลุระดับ 2.20 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,058 บาท) ซึ่งเป็นจุดที่เข้าใกล้ระดับสูงสุดก่อนหน้าที่ 3.84 ดอลลาร์ (ประมาณ 5,338 บาท) ถึงราว 42% ทั้งนี้ ตลาดกำลังจับตาว่าการฟื้นตัวของราคาในครั้งนี้จะสามารถยืนระยะได้หรือไม่ หรือจะเกิดแรงขายทำกำไรในระยะสั้นตามมาภายหลัง

ราคาของริปเปิลได้รับแรงสบับสนุนจากแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วง 1.92–1.95 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,672–2,711 ล้านบาท) ก่อนตอบสนองด้วยการดีดตัวขึ้นอย่างชัดเจน กระแสบวกดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจาก *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* ที่เคลื่อนไหวในทิศทางบวก ซึ่งมีผลในการกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวมอีกด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่ XRP สามารถทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 2.19–2.20 ดอลลาร์ และพยายามรักษาพื้นฐานแนวรับใหม่นี้ไว้ได้

ระดับราคาที่น่าจับตามองในระยะสั้นอยู่ที่ 2.30–2.35 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,197–3,267 ล้านบาท) หาก XRP สามารถทะลุผ่านแนวต้านดังกล่าวไปได้ ก็มีโอกาสที่จะทดสอบระดับสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ 2.66 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,700 ล้านบาท) และอาจไต่ขึ้นไปถึงแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 3 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,170 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากกราฟรายวันจะเห็นว่า *ริปเปิลยังอยู่ในแนวโน้มขาลง* โดยราคายังไม่สามารถสร้าง ‘จุดสูงสุด’ และ ‘จุดต่ำสุด’ ใหม่ในทิศทางขาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจะยืนยันว่าเกิดการ ‘กลับตัวของแนวโน้ม’ อย่างแท้จริง จะต้องเห็นการทะลุผ่าน 2.35 ดอลลาร์ พร้อมกับการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างสม่ำเสมอ

*ความคิดเห็น* จากนักวิเคราะห์ตลาดมองว่าหากการฟื้นตัวครั้งนี้ขยายเป็นโครงสร้างแบบ 5 คลื่นขาขึ้นตามทฤษฎี Elliott Wave ก็อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่ง โดยขณะนี้ตลาดได้สร้างคลื่นที่สามเสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่ราคาต่ำสุดในวันที่ 22 มิถุนายน และมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการพักฐานลงอีกครั้งก่อนวัฏจักรถัดไป

แนวรับสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองคือบริเวณ 2.08 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,891 ล้านบาท) ซึ่งหากไม่สามารถยืนระยะตรงนี้ไว้ได้ ก็อาจเกิดแรงขายเพิ่มเติมในระยะสั้น

ท้ายที่สุด หาก XRP สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 2.29–2.32 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,183–3,224 ล้านบาท) และเข้าสู่คลื่นขาขึ้นลูกที่ 5 ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่ช่วง ‘แรงดีดตัว’ ของตลาดอีกครั้ง นักลงทุนระยะกลางถึงยาวควรจับตามองแนวรับแนวต้านสำคัญเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อวางกลยุทธ์ให้เหมาะกับสถานการณ์