ริปเปิล(XRP) จ่อทะลุแนวต้านสำคัญ 3 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้เป็นจุดชี้ชะตาขาขึ้น

ราคา *ริปเปิล(XRP)* ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักวิเคราะห์เริ่มตั้งข้อสังเกตว่าโอกาสในการ *ฝ่าด่านแนวโน้มหลัก* อาจกำลังใกล้เข้ามา หลังจากที่ตลาดซบเซามาหลายเดือน XRP ยังเคลื่อนไหวอยู่ในช่องทางขาลงโดยมีสัญญาณของแรงซื้อสะสมอย่างเงียบๆ จากนักลงทุนบางกลุ่ม

จากกราฟคู่ XRP/USDT เมื่อเปรียบเทียบกับ *บิตคอยน์(BTC)* หรือ *อีเธอเรียม(ETH)* จะเห็นได้ว่า XRP มีโครงสร้างของกราฟที่แตกต่าง โดยยังคงอยู่ในช่องทางราคาขาลงซึ่งจุดสูงสุดและต่ำสุดลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อ XRP ดูดซับแรงขายที่ระดับต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ (ราว 2,780 บาท) ก็เกิดการดีดกลับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันอีกครั้ง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มลดลง ขณะที่ดัชนี RSI แกว่งตัวอยู่บริเวณ 50 ซึ่งเป็นระดับกลาง แสดงถึงภาวะไร้ทิศทางชัดเจน แต่ก็เป็นสัญญาณว่า XRP อาจกำลังรอการเปลี่ยนแนวโน้ม โดยมีกรอบสำคัญที่ 2.2 - 2.4 ดอลลาร์ (ราว 3,058 - 3,336 บาท) ซึ่งครอบคลุมเส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 วัน หาก XRP สามารถทะลุแนวต้านที่แข็งแกร่งบริเวณ 3 ดอลลาร์ (ราว 4,170 บาท) ได้ชัดเจน จะเป็นสัญญาณของการกลับตัวสู่ขาขึ้น

คู่ XRP/BTC ก็เป็นอีกจุดที่น่าจับตา เนื่องจากราคาได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม และขณะนี้ก็อยู่ใกล้ช่วงล่างของช่องทางขาลงเช่นกัน พร้อมกันนี้บริเวณ 1,600 - 2,000 ซาโตชิ ก็เคยเป็นแนวรับที่มีแรงซื้ออย่างหนาแน่น หรือที่เรียกว่า *Fair Value Gap (FVG)* ซึ่งอาจช่วยพยุงราคาในรอบนี้ได้อีกครั้ง RSI อยู่ต่ำกว่า 50 แต่มีลักษณะการหันหัวขึ้น ซึ่ง *ความคิดเห็น* บางส่วนมองว่าแรงขายเริ่มชะลอตัว หากสามารถทะลุกลับขึ้นไปอยู่เหนือแนวต้านที่ 2,300 ซาโตชิ จะเป็นการยืนยันว่าฝั่งซื้อกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกม

แต่หาก XRP ไม่สามารถรักษาระดับแนวรับในบริเวณนี้ไว้ได้ ก็อาจเสี่ยงปรับตัวลงไปถึง 1,500 ซาโตชิ ซึ่งจะถือเป็นจุดต่ำสุดใหม่และทำให้แนวโน้มระยะกลางอ่อนแรงลงโดยชัดเจน ดังนั้นจุดราคาปัจจุบันคือ *จุดตัดสินสำคัญ* ที่อาจกำหนดทิศทางของ XRP ในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า

ถึงแม้ว่าภาพรวมของตลาดคริปโตจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่การเคลื่อนไหวของ XRP ยังเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ต่างเฝ้าติดตาม โดยในระยะสั้นจุดตัดสินจะอยู่ที่การทะลุแนวเส้นค่าเฉลี่ยหลักและปริมาณการซื้อขาย ขณะที่ในระยะยาว ปัจจัยด้าน ‘แรงศรัทธาของนักลงทุน’ และภาพรวมตลาดจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางต่อไป