โจเซฟ ลูบินเตือนธุรกิจคริปโตเลเวอเรจสูงเสี่ยงตลาดล่ม แนะบริหารความเสี่ยงอย่างมีสติ

โจเซฟ ลูบิน(Joseph Lubin) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคอนเซนซัส(Consensys) เตือนว่าการบริหารความเสี่ยงที่ไร้ประสิทธิภาพอาจนำไปสู่ ‘ผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างมาก’ ภายในตลาดคริปโต โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทจัดการการเงินที่เพิ่งเกิดขึ้นจำนวนหนึ่งที่มีแนวโน้มใช้ ‘เลเวอเรจ’ มากเกินไป ตามบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา

ลูบินยกตัวอย่างบริษัทจัดการสินทรัพย์ชื่อว่า ชาร์ปลิงก์(Sharplink) ซึ่งเป็นโปรเจกต์ใหม่บนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) โดยระบุว่าแม้บริษัทจะยังไม่ใช้เลเวอเรจในตอนนี้ แต่ก็ไม่ปิดกั้นโอกาสในอนาคต อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการรักษาระดับความเสี่ยงที่ ‘เหมาะสม’ นั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากล้มเหลว ก็มีโอกาสที่จะเกิด 'ตลาดล่ม' ได้อย่างเต็มรูปแบบ

ภายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีการเงินที่เชื่อมโยงกับสกุลเงินดิจิทัลอย่าง บิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม เริ่มเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ราคาตลาดของคริปโตก็ยังไม่ตอบรับในระดับที่สอดคล้องกับความคาดหวังในหลายกรณี ลูบินมองว่า ปัจจัยที่กระทบต่อราคานั้นซับซ้อนเกินกว่าจะผูกติดกับแค่การยอมรับของภาคธุรกิจ และเชื่อว่าตลาดยัง ‘ไม่เข้าสู่ช่วงสะสมสินทรัพย์อย่างจริงจัง’ แต่เมื่อถึงเวลา เขามั่นใจว่าจะได้เห็นการสะสมสินทรัพย์ในระดับมหาศาล โดยเฉพาะในบิตคอยน์และอีเธอเรียม ซึ่งเขาระบุว่าจะกลายเป็น ‘เครื่องมือเก็บมูลค่าที่ทรงพลังสูงสุด’

นอกจากนี้ ลูบินยังมองในแง่บวกต่อสเตเบิลคอยน์ โดยระบุว่า สเตเบิลคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีประโยชน์ในระดับโลก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทในสหรัฐฯ ที่สามารถใช้มันเพื่อขยายอิทธิพลของเงินดอลลาร์ในเวทีโลก และเน้นย้ำว่า “ข่าวดี” สำหรับคอนเซนซัสก็คือ สเตเบิลคอยน์ส่วนใหญ่พัฒนาอยู่บนเครือข่ายอีเธอเรียม

คำเตือนของลูบินมีความน่าสนใจ เนื่องจากขณะนี้ธุรกิจการเงินดิจิทัลเริ่มทดลองโมเดล ‘ไฮบริด’ ที่ผสมผสานแนวคิดการบริหารสินทรัพย์แบบดั้งเดิมกับโครงสร้าง DeFi การใช้เลเวอเรจถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทน แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่ม ‘ความเสี่ยง’ อย่างมีนัยสำคัญ ความเห็นของลูบินจึงอาจถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทที่กำลังทดลองแนวทางนี้

ในภาพรวม ความคิดเห็นของลูบินแสดงให้เห็นถึง ‘แนวทางอย่างมีสติ’ ในการบริหารความเสี่ยงของอุตสาหกรรมคริปโต ซึ่งอาจกลายเป็นแนวทางอ้างอิงที่สำคัญสำหรับผู้เล่นในตลาดที่ต้องการความยั่งยืน และแนวทางนี้อาจเป็นจุดเริ่มของการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับวงการคริปโตทั่วโลก