เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) สำนักข่าว Fortune รายงานว่า *คอยน์เบส(COIN)* แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เข้าซื้อกิจการ *ลิควีฟาย(Liquifi)* ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการโทเคน ถือเป็นดีลควบรวมกิจการครั้งที่ 4 ของปีนี้ สะท้อนถึงความพยายามของคอยน์เบสในการสร้าง *โครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล* ครอบคลุมตลอดวงจรของโทเคน และเร่งวางรากฐานเพื่อรองรับการยอมรับคริปโตอย่างแพร่หลาย
ก่อนหน้านี้ คอยน์เบสได้เข้าซื้อกิจการไปแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ สปินเดิล(Spindl) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีโฆษณา, โครงการความเป็นส่วนตัว *ไอรอนฟิช(Iron Fish)* และเมื่อเดือนพฤษภาคม ยังได้ซื้อกิจการ *เดอริบิท(Deribit)* แพลตฟอร์มอนุพันธ์สินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยมูลค่ากว่า 29 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.03 ล้านล้านวอน การเข้าซื้อ *ลิควีฟาย* ในครั้งนี้แม้ไม่มีการเปิดเผยราคาชัดเจน แต่ถูกมองว่าเป็นการขยายกลยุทธ์ทางธุรกิจของคอยน์เบสอย่างเป็นรูปธรรม
ลิควีฟายเป็นแพลตฟอร์ม *โครงสร้างพื้นฐาน* ที่ช่วยให้โครงการบล็อกเชนสามารถบริหารจัดการโทเคนได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่สถานะการถือครอง ตารางการปลดล็อกโทเคน (vesting schedule) ไปจนถึงข้อมูลด้านภาษี โดยมีหลายโครงการสำคัญอย่าง *ยูนิสวอปฟาวเดชัน*, *โอพีแล็บส์(OP Labs)* และ *โซรา(Zora)* ที่ใช้งานเทคโนโลยีของลิควีฟายอยู่แล้ว ซึ่ง *อาคลิล อิบซา(Aklil Ibssa)* หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของคอยน์เบส ระบุว่า “เป้าหมายคือการทำให้การสร้างและจัดการโทเคนเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน” พร้อมชี้ว่าการเข้าซื้อครั้งนี้มุ่งเน้นที่การจัดหาวิศวกรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการยอมรับในวงกว้าง
ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มอย่างไบแนนซ์และ OKX ต่างมุ่งที่การช่วยออกโทเคน แต่คอยน์เบสเลือกเน้นด้านการ *จดทะเบียนและซื้อขาย* อย่างไรก็ตาม หลังจากควบรวมกับลิควีฟาย คอยน์เบสกำลังก้าวไปสู่การเป็นระบบนิเวศแบบ *ครบวงจร* ตั้งแต่การสร้าง จัดการ จนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) ซึ่งวิเคราะห์กันว่าเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนบทบาทของคอยน์เบสจาก ‘แพลตฟอร์มซื้อขาย’ ไปสู่ *โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของคริปโต*
จุดเด่นของลิควีฟายคือ มีคุณสมบัติเกินกว่าแพลตฟอร์มออกโทเคนทั่วไป โดยเปิดโอกาสให้โครงการได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงช่วงก่อนการจดทะเบียน (pre-listing) จึงถือเป็นเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์สำหรับโปรเจกต์ใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันลิควีฟายกำลังเผชิญกับ *คดีความกรณีขโมยเอกสาร* จากบริษัทคู่แข่ง แม้จะมีข้อพิพาททางกฎหมาย แต่คอยน์เบสยืนยันว่าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบด้านก่อนการเข้าซื้อ และตัดสินใจเดินหน้าดีลนี้ต่อไป ถือเป็นการสะท้อนว่า คอยน์เบสให้ความสำคัญกับ ‘ศักยภาพของเทคโนโลยี’ มากกว่าความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
การแข่งขันควบรวมกิจการในวงการคริปโตยังคงคึกคักในปีนี้ โดยนอกจากคอยน์เบส ยังมี *สไตรป์(Stripe)* ที่ได้เข้าซื้อสตาร์ทอัพด้านสเตเบิลคอยน์ชื่อ *บริดจ์(Bridge)* และบริษัทกระเป๋าเงินดิจิทัล *พริวี่(Privy)* ทำให้เห็นทิศทาง ‘บูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน’ ที่ชัดเจนมากขึ้น ความเคลื่อนไหวของคอยน์เบสจึงไม่เพียงแค่เสริมความแข็งแกร่งของบริการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางตำแหน่งสู่การเป็น *ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้* ภายในระบบนิเวศคริปโตในอนาคตอีกด้วย
ความคิดเห็น 0