Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

นีโอบีงค์คริปโต จุดเปลี่ยนการเงินโลกในตลาดเกิดใหม่—เชื่อมต่อสเตเบิลคอยน์กับชีวิตจริง

นีโอบีงค์คริปโต จุดเปลี่ยนการเงินโลกในตลาดเกิดใหม่—เชื่อมต่อสเตเบิลคอยน์กับชีวิตจริง / Tokenpost

การยอมรับสกุลเงินดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินที่รองรับการใช้งานจริงกลับยังไม่ทันสมัยตาม หลายฝ่ายยังตั้งคำถามว่า ‘อำนาจทางการเงิน’ ที่เทคโนโลยีบล็อกเชนให้คำมั่นนั้น ได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ซึ่งข้อจำกัดต่าง ๆ ยิ่งปรากฏเด่นชัด ผู้คนจำนวนมากถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล แต่กลับไม่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จึงเกิดเป็นช่องว่างสำคัญในระบบการเงินบล็อกเชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ถึงแม้ประชากรจำนวนมากในประเทศกำลังพัฒนาจะเข้าถึง ‘สเตเบิลคอยน์’ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลได้แล้ว แต่การใช้งานเพื่อโอนเงินระหว่างประเทศหรือหารายได้ที่มั่นคงยังแทบไม่มี ซึ่งนั่นเป็นบริการพื้นฐานที่ระบบการเงินควรมอบให้ โดยเฉพาะในประเทศที่ค่าเงินมีความผันผวนสูง ผู้คนเริ่มมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเป็นตัวเลือกของเสถียรภาพทางการเงิน แต่ ‘ช่องทาง’ ที่จะนำมาใช้จริงกลับแทบไม่มี ทำให้การเชื่อมโยงระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลและเศรษฐกิจจริงถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง

แม้สเตเบิลคอยน์จะเริ่มถูกมองว่าเป็น ‘บัญชีเงินฝากดอลลาร์’ สำหรับประเทศที่ไม่มีเงินสกุลดอลลาร์ แต่ก็ยังต้องฝ่าด่านใหญ่เรื่องการใช้งานที่ยังจำกัด อย่างไรก็ตามความหวังใหม่เริ่มปรากฏเมื่อ ‘โทเคนสินทรัพย์’ อย่างกองทุน BUIDL ของแบล็คร็อก เริ่มเปิดประตูสู่ตลาดทุนสหรัฐฯ ให้ผู้ใช้งานจากเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินดอลลาร์สามารถเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ได้ ความคิดเห็นคือ สำหรับผู้ใช้งานในประเทศที่มีระบบการเงินเข้มแข็ง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นแค่ ‘สินค้า’ อีกประเภทหนึ่ง แต่กับผู้ใช้งานในตลาดเกิดใหม่ มันคือ ‘ความเปลี่ยนแปลงในชีวิต’

ปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ตรงจุดเดิม ผู้ใช้งานอาจมีสเตเบิลคอยน์ไว้เก็บออม แต่กลับไม่มีทาง ‘ออกไปใช้จ่าย’ ได้อย่างเป็นระบบ การถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์ในประเทศที่ไม่มีโครงสร้างรองรับ จึงกลายเป็นทางเดียวแบบไร้ปลายทาง ผู้ใช้งานในตลาดเกิดใหม่ต้องติดอยู่กับโครงสร้างระบบการเงินดิจิทัลที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในชีวิตจริงได้ ต่างจากสหรัฐฯ ที่กองทุน ETF บิตคอยน์(BTC) มีสภาพคล่องมากถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 139 ล้านล้านวอน) แต่ในประเทศกำลังพัฒนา สินทรัพย์แบบเดียวกันกลับแทบไม่มีทางนำมาใช้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งนั่นสะท้อนช่องว่างระหว่าง ‘คำสัญญา’ และ ‘ความจริง’

ระบบชำระเงินก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ เช่น ผู้ใช้งานในตลาดที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อ แม้จะเข้าถึงสเตเบิลคอยน์ได้แต่ขั้นตอนต่าง ๆ ยังต้องอาศัยการโอนผ่านธนาคารหรือเครือข่ายแบบ P2P ซึ่งทำให้การใช้งานยังลำบาก อย่างไรก็ตามการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ‘เมตา’, ‘วีซ่า’, ‘สไตรป์’, ‘ฟิเดลิตี้’ กลับเข้าสู่ตลาดการเงินบล็อกเชนอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสผ่อนคลายกฎระเบียบสเตเบิลคอยน์ที่เริ่มขึ้นในช่วงประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงให้เห็นว่า ‘การชำระเงินข้ามพรมแดนแบบใหม่’ อาจเกิดขึ้นจริงในไม่ช้า

แต่ปัจจุบัน ระบบที่ผสมผสานบล็อกเชนกับโครงสร้างการเงินดั้งเดิมส่วนใหญ่ยังคงเป็น ‘ศูนย์กลาง’ ที่ผู้ใช้งานจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคอย่างลาตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ธนาคารท้องถิ่นยังมีข้อจำกัดในการรับมือกับสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ผู้ใช้งานต้องเผชิญกับการเปลี่ยนบัญชีธนาคารบ่อยครั้ง ขณะที่ในแอฟริกาและเอเชียใต้ ซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังจำกัด ปัญหาที่สำคัญคือไม่มีโครงสร้าง ‘ออฟแรมป์’ ที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างราบรื่น

ในบริบทนี้ ความจำเป็นในการออกแบบระบบการเงินใหม่ตั้งแต่ฐานรากจึงเริ่มชัดเจนขึ้น ตลาดเกิดใหม่อาจเดินรอยเดียวกับจีนที่กระโดดข้ามอีเมลและบัตรเครดิตไปสู่ยุคจ่ายเงินผ่านมือถือทันที ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้จะกลายเป็น ‘แกนกลาง’ ของนวัตกรรมการเงินยุคใหม่เสียเอง เพราะยิ่งโครงสร้างดั้งเดิมอ่อนแอ โอกาสในการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ เช่นบริการธนาคารบนบล็อกเชนจึงยิ่งสูง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ภาครัฐประเทศต่าง ๆ เริ่มจัดทำนโยบายที่เอื้อต่อการใช้งานจริงของสเตเบิลคอยน์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ‘องค์ประกอบสำคัญ’ ที่ยังขาดหาย คือรูปแบบบริการที่นอกจากจะมีวิธีการถอนเงิน (ออฟแรมป์) แล้ว ยังต้องมีช่องทางในการฝากเงิน (ออนแรมป์) ด้วย ระบบส่วนใหญ่ในปัจจุบันเน้นคริปโตวอลเล็ตแบบดูแลตัวเอง หรือเดบิตการ์ด ที่ช่วยถอนเงินได้ แต่ไม่มีโครงสร้างที่ให้ผู้ใช้งานฝากเงินเข้าแบบสมบูรณ์ การจะสร้าง ‘วงจรการเงิน’ ที่ครบถ้วน จำเป็นต้องมีระบบ ‘ฟูลลูป’ ที่รวมทั้งออนแรมป์และออฟแรมป์ไว้ในที่เดียว

กลุ่มบริการ ‘นีโอบีงค์’ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเลเยอร์ 2 บนบล็อกเชนอย่าง ‘อีเธอเรียม(ETH)’ จึงเริ่มเป็นแบบจำลองที่น่าสนใจ เพราะสามารถออกแบบให้มีโครงสร้างเหมือนธนาคารบนระบบใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยธนาคารแบบดั้งเดิม ช่วยให้เกิดการโอนเงินและใช้งานในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การถือครองแบบไม่มีทางออก (เหมือนโรงแรมแคลิฟอร์เนียในเพลงดัง) ซึ่งยิ่งเป็นปัญหาหนักสำหรับผู้ใช้ในตลาดเกิดใหม่ ที่แม้หลุดพ้นจากความเสี่ยงด้านค่าเงินแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ระบบการเงินที่แท้จริงจะต้องเชื่อมโยงขั้นตอนทั้งหมดให้ครบ ตั้งแต่รับเงินเดือนเป็นสเตเบิลคอยน์ → จัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล → ใช้จ่ายจริงในชีวิตประจำวัน โมเดลแบบนี้จะช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างการเงินรูปแบบเก่ากับยุคใหม่ ที่สำคัญคือ หากมีการพัฒนาระบบที่ให้ผู้คนสามารถ ‘รับเงินเดือนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล’ ได้จริง จะถือเป็นชัยชนะของการรวมระบบการเงินทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน และในจุดนี้ ‘นีโอบีงค์คริปโต’ จะกลายเป็นตัวกลางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีคิดผู้ใช้งานจากสิ่งที่คุ้นเคยไปสู่สิ่งใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำคัญอยู่ที่ระบบใหม่เหล่านี้ต้อง ‘ไร้ศูนย์กลาง’ และเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เช่นเดียวกับที่ ‘แอปเปิล’ ปลุกโลกให้รู้จักสมาร์ตโฟนผ่านประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ‘นีโอบีงค์คริปโต’ เองก็จำเป็นต้องออกแบบให้ผู้ใช้งาน ‘ไม่จำเป็นต้องเข้าใจบล็อกเชน’ ก็สามารถใช้งานได้จริง หากทำได้เช่นนี้ เมื่อนั้น ‘การเข้าถึงการเงินระดับโลก’ อย่างแท้จริงก็จะไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป.

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1