โนโวกราตซ์แนะซื้อบิตคอยน์(BTC) รับมือแรงกดดันการเมืองสหรัฐต่อเฟด

ไมค์ โนโวกราตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกาแล็กซี ดิจิทัล ได้ออกมาแนะนำให้ *ซื้อบิตคอยน์(BTC)* ท่ามกลางสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเมือง โดยเขาเตือนว่าสถานการณ์เช่นนี้ “จะไม่จบลงด้วยดี” พร้อมระบุว่า *บิตคอยน์* สามารถทำหน้าที่เป็นทั้งทางเลือกและเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม

เมื่อวันที่ 24 ตามเวลาท้องถิ่น รายงานข่าวระบุว่า เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะจากกลุ่มพรรครีพับลิกันให้ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลายคนถึงขั้นเรียกร้องให้เขาลาออก โดยอ้างว่าเขาเพิกเฉยต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง บิล พูลตี ผู้อำนวยการสำนักงานกำกับดูแลการเคหะแห่งสหรัฐ (FHFA) ก็เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์ที่รุนแรงถึงขั้นกล่าวหาว่าพาวเวลให้การเป็นเท็จต่อรัฐสภา

โนโวกราตซ์แสดงความกังวลต่อการแทรกแซงของการเมืองในการดำเนินงานของเฟด ซึ่งเขาเรียกว่า *“พฤติกรรมแบบประเทศกล้วย” (Banana Republic)* พร้อมปกป้องพาวเวลโดยย้ำว่า การตัดสินใจทางนโยบายควรพิจารณาจากข้อมูล ไม่ใช่แรงกดดันทางการเมือง โดยเขามองว่าสถานการณ์นี้ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึง ‘คุณค่า’ ของ *บิตคอยน์*

ขณะนี้ เฟดยังไม่รีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% และตัวเลขการจ้างงานล่าสุดยังคงแข็งแกร่ง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เฟดยังคงนโยบายคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในวงการตลาดเริ่มมีมุมมองว่าหากแรงกดดันทางการเมืองยังคงต่อเนื่อง เฟดอาจถูกบีบให้ลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง *บิตคอยน์* มากยิ่งขึ้น

โนโวกราตซ์เคยให้ความเห็นว่า การใช้จ่ายของภาครัฐที่มากเกินไป โดยเฉพาะจากแผนงบประมาณขนาดใหญ่ของรัฐสภาสหรัฐ ส่งผลให้เกิด *การขาดดุลทางการคลัง* อย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่าสิ่งนี้ส่งผลดีต่อบิตคอยน์ในระยะยาว โดยมองว่าเม็ดเงินจำนวนมากในระบบอาจผลักดันให้ตลาด BTC เติบโตสูงขึ้น

เมื่อประเด็นการกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยกลายเป็นหัวข้อร้อนแรงบนเวทีการเมือง ความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมก็ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกัน ความน่าสนใจใน *บิตคอยน์* ในฐานะเครื่องมือเก็บมูลค่าที่ไม่ขึ้นกับภาครัฐจึงกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แม้จะสร้างความไม่มั่นคงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมันอาจช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับสินทรัพย์ที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนได้มากขึ้น