อีเธอเรียม(ETH) พุ่งแรงใกล้ 50% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.56 ล้านบาท) แตะระดับสูงสุดของปี 2024 โดยนักวิเคราะห์ระบุว่าการปรับตัวขึ้นครั้งนี้มาจากแรงซื้อขนาดใหญ่ของ ‘นักลงทุนสถาบัน’, กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ ETF และความคาดหวังของตลาดต่อการ ‘โทเคนไนซ์สินทรัพย์จริง’
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระหว่างตลาดสหรัฐฯ อีเธอเรียมพุ่งแตะระดับ 4,047 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.62 ล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 หรือภายหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ส่งผลให้บรรยากาศ ‘เป็นมิตรต่อคริปโต’ ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลจาก CoinGlass เผยว่าผู้ที่เปิดสถานะชอร์ตอีเธอเรียมขาดทุนรวมกว่า 134 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.86 หมื่นล้านบาท) ภายใน 24 ชั่วโมง
แรงหนุนสำคัญรอบนี้คือ ‘ความต้องการจากสถาบัน’ โดยเฉพาะบริษัทอย่าง ‘ชาร์ปลิงค์’ และ ‘บิทไมน์’ ที่เข้าซื้ออีเธอเรียมคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ รวมแล้วถือครองมากกว่า 3 ล้านเหรียญ ETH คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท) โดยเฉพาะบิทไมน์ที่ถือเหรียญเดี่ยวกว่า 830,000 ETH หรือราว 5.2 พันล้านดอลลาร์
วิทาลิก บูเทอริน(Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม แสดงความ ‘สนับสนุน’ ต่อการเข้ามาของสถาบัน แต่ออกโรงเตือนว่าไม่ควรพึ่งพา ‘เลเวอเรจ’ หรือการกู้ยืมมากเกินไป เหตุเพราะอาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบและโครงสร้างการกำกับดูแลในระยะยาว
ในฝั่งของ ETF ก็ไม่แพ้กัน โดยตลอดเดือนกรกฎาคม มีกระแสเงินไหลเข้าสู่อีเธอเรียม ETF ราว 5 พันล้านดอลลาร์ และในเดือนสิงหาคม การไหลออกจาก ETF ประเภทนี้ยังต่ำกว่าของบิตคอยน์(BTC) จุดสะท้อนหนึ่งคือความนิยมระยะสั้นที่มากขึ้นจากนักลงทุน ขณะเดียวกัน แบล็คร็อก และ โรบินฮูด ก็กำลังเร่งขยายตลาด ‘โทเคนไนซ์สินทรัพย์จริง’ บนพื้นฐานอีเธอเรียมเช่นกัน
ตลาดยังคง ‘มองบวกระยะสั้น’ กับแนวโน้มราคาของ ETH แพลตฟอร์มเทรดตามการคาดการณ์อย่าง Polymarket แสดงให้เห็นว่าเกือบ 60% ของผู้ใช้งานเชื่อว่า ETH จะทะลุ 5,000 ดอลลาร์ภายในปีนี้ ขณะที่กลุ่มนักเก็งกำไรบางส่วนคาดการณ์สูงถึง 60,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว ด้านอาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้ง BitMEX ให้มุมมองเชิงบวกด้วยเช่นกัน โดยตั้งเป้าราคาไว้ที่ 10,000 ดอลลาร์ต่อ ETH ภายในสิ้นปี
ณ เวลา 20.22 น. ของวันที่ 8 (เวลาท้องถิ่น) อีเธอเรียมมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 488.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 679 ล้านล้านบาท) และมียอดซื้อขายในรอบ 24 ชั่วโมงสูงถึง 46 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63.9 ล้านล้านบาท) แม้จะยังมีความไม่แน่นอน แต่ ‘แรงซื้อจากสถาบัน’ และ ‘เงินทุน ETF’ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่พยุงราคาขาขึ้นในตอนนี้
ความคิดเห็น 0