สหรัฐฯ ขึ้นแท่นอันดับ 2 การยอมรับคริปโตโลก อินเดียยังครองแชมป์ต่อเนื่อง

สหรัฐฯ ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลกในด้านการนำคริปโตมาใช้งาน ตามรายงานล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน เชนนาลิซิส(Chainalysis) ที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยอ้างอิงจากดัชนีการยอมรับคริปโตทั่วโลกปี 2025 ซึ่งจัดอันดับบนพื้นฐานข้อมูลระหว่างเดือนกรกฎาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025 การเปลี่ยนแปลงในปีนี้ถือเป็นการขยับขึ้นถึงสองอันดับเมื่อเทียบกับปีก่อน และสะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดคริปโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง ‘อินเดีย’ ยังคงครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง

เชนนาลิซิสระบุว่า การจัดอันดับพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณการทำธุรกรรมของผู้ใช้รายย่อยและสถาบัน, การใช้งานบริการแบบรวมศูนย์และไร้ศูนย์กลาง โดยแสดงให้เห็นถึงระดับการมีส่วนร่วมของแต่ละประเทศต่อระบบนิเวศคริปโตในเชิงโครงสร้างและความแพร่หลายของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

คิม กราวเออร์(Kim Grauer) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเชนนาลิซิส แสดงความคิดเห็นกับ CoinTelegraph ว่า “ขณะนี้ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่พร้อมรองรับ และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มองหาเครื่องมือทางการเงินทางเลือกผ่าน ‘สเตเบิลคอยน์’ กำลังขับเคลื่อนการยอมรับคริปโตทั่วโลก” พร้อมเสริมว่า แก่นแท้ของการยอมรับคริปโตอยู่ที่ “การนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน” ตัวอย่างเช่น สเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในการโอนเงินข้ามประเทศและการรักษามูลค่าสินทรัพย์ในประเทศที่ประสบกับภาวะเงินเฟ้อสูง ขณะเดียวกันแอปพลิเคชันไร้ศูนย์กลาง(DApp) ก็กำลังตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของแต่ละภูมิภาค

ความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองอยู่ที่ ‘ปากีสถาน’ ซึ่งทะยานขึ้นถึง 6 อันดับ มาคว้าอันดับ 3 ได้อย่างโดดเด่น ตามมาด้วย ‘เวียดนาม’ และ ‘บราซิล’ ที่ครองอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ ขณะที่ ‘ไนจีเรีย’ กลับถดถอยจากอันดับ 2 ลงมาอยู่อันดับ 6 แม้จะมีความคืบหน้าในการปรับปรุงนโยบายบางส่วน ทั้งนี้ ประเทศอย่าง ‘อินโดนีเซีย’, ‘ยูเครน’, ‘ฟิลิปปินส์’ และ ‘รัสเซีย’ ยังคงติดอันดับท็อป 10 เช่นเดียวกัน

รายงานฉบับนี้มีความสำคัญเพราะชี้ให้เห็นว่า ประเทศต่างๆ ไม่ได้วัดแค่ปริมาณการลงทุนในคริปโต แต่ยังมองถึงการ ‘ใช้งานจริง’ เช่น ความนิยมใน ‘สเตเบิลคอยน์’, การเข้าถึงบริการไร้ศูนย์กลาง และระดับการรับรองจากภาครัฐ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กำลังกลายเป็นแกนสำคัญของนโยบาย ด้านเทคโนโลยีการเงิน และจะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอนาคต