วาฬอีเธอเรียม(ETH)สะสมเพิ่ม 14% ใน 5 เดือน หนุนราคาพุ่งเฉียด 4,500 ดอลลาร์ จับตาทำสถิติใหม่

ความเคลื่อนไหวของ ‘วาฬอีเธอเรียม(ETH)’ กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่าการสะสมเหรียญของนักลงทุนรายใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 14% ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเวลานี้ตรงกับช่วงที่ราคาอีเธอเรียมอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปีที่ประมาณ 1,400~1,800 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเฉียดระดับ 4,500 ดอลลาร์ในปัจจุบัน ท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนว่า *อีเธอเรียมอาจทุบสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลอีกครั้ง*

ตามข้อมูลจาก Santiment บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนเชน พบว่านักลงทุนกลุ่ม ‘วาฬระดับกลาง’ และ ‘ปลาฉลาม’ ที่ถือครองระหว่าง 1,000 ถึง 100,000 ETH เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการสะสมเหรียญในครั้งนี้ โดยมีการประเมินว่าแรงซื้อสะสมอย่างต่อเนื่องของกลุ่มนี้อาจเป็นแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันราคาขึ้นในระยะกลางถึงยาว ขณะที่ Altcoin Vector แพลตฟอร์มวิเคราะห์คริปโต ระบุว่าในช่วงเวลาดังกล่าว *สัดส่วนการถือครองอีเธอเรียมของวาฬเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ* โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘วาฬขนาดยักษ์’ ที่ถือครองมากกว่า 10,000 ETH ซึ่งมีแนวโน้มเข้าซื้ออย่างโดดเด่น

Altcoin Vector ยังวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า *แรงกดดันด้านราคาต่ออีเธอเรียมเริ่มลดลง* แต่หากราคาจะทะลุผ่านแนวต้านหลักที่ 5,000 ดอลลาร์ได้ อาจต้องอาศัยแรงซื้อสะสมจากวาฬอย่างต่อเนื่อง พวกเขาชี้ว่าช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมที่ราคาพุ่งแรงนั้น *สอดคล้องโดยตรงกับช่วงเวลาที่วาฬเข้าซื้อหนักที่สุด* ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบสำคัญของกลุ่มผู้ถือครองรายใหญ่เหล่านี้ต่อแนวโน้มราคา

อีกประเด็นสำคัญที่สนับสนุนการพุ่งขึ้นของอีเธอเรียม คือการไหลออกครั้งใหญ่จากตลาดแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ โดยนักวิเคราะห์คริปโตชื่อ อาลี มาร์ติเนซ(Ali Martinez) เปิดเผยว่า *มีการถอนอีเธอเรียมกว่า 500,000 ETH หรือคิดเป็นมูลค่าราว 9,575 พันล้านบาท* ออกจากตลาดแลกเปลี่ยนภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกว่ากลุ่มผู้ถือครองต้องการเก็บรักษาเหรียญไว้ในกระเป๋าของตน แทนที่จะนำออกขายในตลาด ส่งผลให้แรงกดดันฝั่งขายลดลง

แม้ว่าราคาของอีเธอเรียมในปัจจุบันจะขับเคลื่อนโดยตลาดอนุพันธ์เป็นหลัก แต่หากอุปสงค์จาก *ตลาดสปอต* หรือการซื้อขายจริงกลับมาแข็งแกร่ง อีเธอเรียมก็อาจเดินหน้าพุ่งขึ้นเพื่อลุ้น *ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง* ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือต้องมีแรงซื้อจากกลุ่มที่เชื่อมั่นในตัวสินทรัพย์อย่างแท้จริง