สเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็นมากกว่าทางเลือกในการชำระเงินแบบดั้งเดิม โดยมีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่าหลายล้านล้านบาทในตลาดค้าปลีกทั่วโลก ล่าสุด โจว เสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางจีน แสดงความเห็นว่า ‘สเตเบิลคอยน์อาจแพร่หลายในตลาดการชำระเงินของผู้บริโภค’ เนื่องจากปัญหาค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่แพงเกินไปในสหรัฐฯ แม้เขาจะย้ำว่าระบบการชำระเงินของจีนมีประสิทธิภาพและค่าธรรมเนียมต่ำจนน่าพึงพอใจ แต่ความคิดเห็นบางส่วนชี้ว่าเขาอาจ ‘ประเมินการเติบโตของสเตเบิลคอยน์ต่ำเกินไป’
ในสหรัฐอเมริกา ผู้ค้าปลีกต้องแบกรับค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตโดยเฉลี่ยระหว่าง 2–3% ซึ่งหนักหน่วงแม้แต่สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอเมซอนและวอลมาร์ต ขณะที่สเตเบิลคอยน์สามารถ ‘ลดต้นทุนการทำธุรกรรมอย่างมีนัยสำคัญ’ ไม่เพียงแต่เบาแรงผู้ค้าปลีก แต่ยังเปิดช่องให้ระบบสะสมแต้มและโปรแกรมรางวัลต่างๆ เข้ามา ‘ช่วยเสริม’ หรือแม้กระทั่ง ‘ทดแทน’ ระบบเดิม การชำระเงินแบบออนเชนด้วยสเตเบิลคอยน์ยังสนับสนุนฟังก์ชันที่ระบบดั้งเดิมไม่รองรับ เช่น ระบบดิจิทัลแบบไร้พรมแดน หรือโปรแกรมลอยัลตี้ที่ตั้งค่าได้ในตัว
แม้จีนจะมีเอกชนด้านเทคโนโลยีการเงินอย่างอาลีเพย์และวีแชทเพย์ที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทั่วระบบเศรษฐกิจของผู้บริโภค แต่ความสำเร็จของแพลตฟอร์มเหล่านี้ อาจกลายเป็น ‘ตัวอย่างชั้นดี’ ของโอกาสที่สเตเบิลคอยน์สามารถสร้างขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเริ่มเรียกร้องให้ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ‘ใช้สเตเบิลคอยน์ในเชิงนวัตกรรม ไม่ใช่แค่เครื่องมือเก็งกำไร’
ฝั่งการเมืองของสหรัฐฯ เองก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสื่อสารว่ารัฐบาลควร ‘ส่งเสริม’ ไม่ใช่ ‘ควบคุม’ ทั้งคริปโตและสเตเบิลคอยน์ แนวทางนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ กล้าทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ อย่างมั่นใจและเสรีมากขึ้น
ท้ายที่สุด การมองสเตเบิลคอยน์เป็นเพียงแค่ ‘แผนสำรอง’ หรือ ‘ตัวอย่างจากต่างประเทศ’ อาจเป็นท่าทีที่เสี่ยงต่อการพลาดโอกาสครั้งใหญ่ เมื่อภาคค้าปลีกทั่วโลกกำลังมองหา ‘เครื่องมือใหม่เพื่อลดต้นทุนการชำระเงินนับล้านล้านบาท’ สเตเบิลคอยน์จึงกลายเป็น ‘คำตอบที่มีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ’ พร้อมเปลี่ยนทั้งภาคธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน และระบบนิเวศทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งอุตสาหกรรม.
ความคิดเห็น 0