ไลออน กรุ๊ป โฮลดิง เปลี่ยนพอร์ตคริปโตทั้งหมดเป็นเหรียญไฮป์(HYPE) รับกระแสโทเคนทางเลือกพุ่ง

แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่จากสิงคโปร์ ‘ไลออน กรุ๊ป โฮลดิง’ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดยประกาศแผนเปลี่ยนสินทรัพย์ที่ถือครองทั้งหมดไปเป็นเหรียญไฮป์(HYPE) ซึ่งเป็นโทเคนบนระบบนิเวศของไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid) โดยบริษัทมีแผนทยอยขายเหรียญโซลานา(SOL) และซุย(SUI) ที่มีอยู่ เพื่อเปลี่ยนไปถือครองไฮป์อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อวันที่ 8 ไลออน กรุ๊ป โฮลดิงเปิดเผยแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า การปรับโครงสร้างพอร์ตในครั้งนี้เป็นกลยุทธ์เพื่อ ‘เพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ’ และ ‘ลดต้นทุนเฉลี่ยของการเข้าซื้อโดยอาศัยความผันผวนของตลาด’ วิลสัน หวัง(Wilson Wang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทระบุว่า “แนวทางการดำเนินกลยุทธ์นี้จะวางรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้ธุรกิจของบริษัท ผ่านรูปแบบการลงทุนที่มุ่งเน้นไฮป์เป็นหลัก”

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเปิดตัวบริการรับฝากเหรียญไฮป์เพื่อสถาบันของสหรัฐฯ โดยบริษัทรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดังอย่างบิตโก(BitGo) ได้เตรียมให้บริการโซลูชันการดูแลรักษาเหรียญไฮป์เฉพาะทางสำหรับลูกค้ากลุ่มสถาบันในตลาดสหรัฐ ทำให้ความคาดหวังต่อการร่วมวงของนักลงทุนรายใหญ่มีมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เหรียญไฮป์กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยข้อมูลจาก CoinGecko ระบุว่าเมื่อวันที่ 8 ราคาของไฮป์พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 51.84 ดอลลาร์ หรือประมาณ 71,050 วอน โดยมีทั้งปริมาณการซื้อขายและราคาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน ไลออน กรุ๊ปได้รับเงินสนับสนุนมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8,340 ล้านบาท) จาก ATW Partners บริษัทลงทุนในสหรัฐ และเดินหน้าโครงการคริปโตเทรเชอรีอย่างจจริงจัง โดยในช่วงเริ่มต้นบริษัทได้เลือกลงทุนในทั้งไฮป์, โซลานา และซุย โดยสองเหรียญหลังเน้นในโปรเจ็กต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน และได้รับการสนับสนุนจาก World Liberty Financial

ปัจจุบัน ไลออน กรุ๊ปถือเหรียญโซลานาประมาณ 6,629 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 19.46 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลของ CoinGecko ทำให้บริษัทติดอันดับ 6 ของบริษัทที่ถือโซลานามากที่สุด

การเปลี่ยนแนวทางมาให้ความสำคัญกับไฮป์ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตระยะกลางและระยะยาวของไลออน กรุ๊ป ซึ่งอาจสะท้อนแนวโน้มใหม่ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลที่นักลงทุนองค์กรเริ่มให้ความสนใจกับโทเคนทางเลือกที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น