ราคาบิตคอยน์(BTC) พุ่งทะลุ 114,000 ดอลลาร์ (ราว 1.58 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 12 จากผลของดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) เดือนสิงหาคมที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด ส่งผลให้สภาพจิตวิทยาการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน การแก้ไขลดตัวเลขการจ้างงานจากสัปดาห์ก่อนหน้า ได้สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในการพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งความเป็นไปได้ดังกล่าวกำลังสะท้อนอยู่ในตลาด
จากข้อมูลของเครื่องมือ FedWatch ของตลาดซื้อขายล่วงหน้า CME แสดงให้เห็นว่า ความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับลด ‘อัตราดอกเบี้ยนโยบาย’ ในการประชุมวันที่ 17 กันยายน สูงถึง 90% โดยทั่วไป การลดดอกเบี้ยจะสร้าง ‘สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสินทรัพย์เสี่ยง’ ซึ่งรวมถึงตลาดคริปโตอย่างบิตคอยน์ด้วย โดยนักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์นี้กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับ ‘โมเมนตัมการฟื้นตัวของราคา’
แพลตฟอร์มวิเคราะห์ตลาด เทฟราดิจิทัล(Tephra Digital) แสดงความเห็นผ่าน X (อดีตทวิตเตอร์) ว่า หากบิตคอยน์ยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบหน่วงเวลากับปริมาณเงิน M2 และราคาทองคำ ก็มีแนวโน้มที่ราคาจะพุ่งขึ้นไปแตะช่วง 167,000–185,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.32–2.57 ล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ ความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่า บิตคอยน์อาจตอบสนองต่อปัจจัยมหภาคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่ามกลาง ‘สภาพคล่องในตลาดที่เพิ่มขึ้น’
นอกจากบิตคอยน์ สินทรัพย์ดิจิทัลอื่นอย่าง ‘อัลต์คอยน์’ หลักอย่าง เอ이다(ADA), โพลกาดอต(DOT) และไลต์คอยน์(LTC) ต่างก็สามารถ ‘ฝ่าด่านแนวต้าน’ ได้สำเร็จ พร้อมเปลี่ยนทิศทางจากขาลงกลับมาเป็นขาขึ้นตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกด้วย
ความสนใจของนักลงทุนเริ่มหันไปพิจารณา ‘นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ’ ที่คล้ายกับช่วงสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างแรงคาดการณ์ใหม่ต่อทิศทางนโยบายการเงินครึ่งปีหลังของสหรัฐ ข้อมูลเศรษฐกิจและท่าทีจากเฟดจึงเป็น ‘ปัจจัยสำคัญ’ ที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของตลาดคริปโตในระยะถัดไป
ความคิดเห็น 0