เครือข่ายพาย(Pi Network) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ‘Fast Track KYC’ ซึ่งช่วยให้ขั้นตอน *ยืนยันตัวตน (KYC)* ง่ายและเร็วขึ้นอย่างมาก โดยมีเป้าหมายขยายการเข้าถึงของผู้ใช้และเพิ่มการมีส่วนร่วมในระบบนิเวศดิจิทัล การอัปเดตครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์หลักของเครือข่ายพายในการสร้าง *ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่เน้นการใช้งานจริงภายใต้การยืนยันตัวตนแบบระบุชื่อ*
Fast Track KYC ใช้ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยปรับปรุงกระบวนการยืนยันตัวตนแบบเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องทำการขุดเหรียญอย่างน้อย 30 ครั้ง จึงจะสามารถยื่นขอ KYC ได้ แต่ด้วยระบบใหม่นี้ ผู้ใช้รายใหม่สามารถขอ KYC และเปิดกระเป๋าเมนเน็ตได้เร็วขึ้นหากผ่านเงื่อนไขบางประการ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ครอบคลุมเฉพาะการเปิดใช้งานกระเป๋าเงินบนเมนเน็ตเท่านั้น การโอนโทเคนและการเปลี่ยนสถานะแบบเต็มรูปแบบยังต้องผ่านการตรวจสอบและคุณสมบัติเพิ่มเติม
เครือข่ายพายกล่าวว่า *Fast Track KYC* ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ภายในระบบนิเวศ เช่น แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApp) หรือกิจกรรมการค้าภายในชุมชน ได้แม้จะยังไม่ได้โอนย้ายเมนเน็ตอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ การผสานฟีเจอร์นี้เข้าไว้ในระบบนับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ระบบโดยตรง แทนที่จะต้องพึ่งพาบริการจากภายนอก เช่น Banxa ซึ่งเคยเป็นผู้ให้บริการ onboarding รายหลัก
พร้อมกันนี้ เครือข่ายพายยังมีประเด็นอัปเดตใหม่ที่กำลังเป็นที่พูดถึง โดยมีผู้ใช้บางรายอ้างว่า *โทเคน PI ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการบนบล็อกเชนของโซลานา(SOL)* แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากทีมงานเครือข่ายพาย แต่ผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ที่ใช้ชื่อว่า ‘Moon Jeff’ ให้ความเห็นว่า “ความสามารถในการขยายเครือข่ายและความเร็วของการทำธุรกรรมบนโซลานาอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเครือข่ายพาย”
แม้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับการจดทะเบียนนี้ ราคาของโทเคน PI ก็ยังไม่แสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ *0.35 ดอลลาร์* หรือประมาณ 486 บาท ซึ่งลดลงมากกว่า *90%* เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่เคยแตะระดับ 3 ดอลลาร์เมื่อต้นปี 2025 ส่วนในกรอบรายวัน ราคาเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเล็กน้อยเพียง 0.5% แสดงให้เห็นถึง *การตอบสนองอย่างจำกัดของตลาด*
ในที่สุด การเปิดตัว *Fast Track KYC* ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การปรับปรุงฟีเจอร์ทั่วไป แต่เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อาจส่งผลให้เครือข่ายพายสามารถขยายฐานผู้ใช้งานจริง พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาแอปและระบบในอนาคต ด้วยภาระการยืนยันตัวตนที่ลดลง ย่อมเปิดโอกาสให้มีการทดลองใช้งานและสร้างระบบนิเวศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น *ความคิดเห็น:* การวางรากฐานเหล่านี้อาจช่วยให้โทเคนมีการใช้งานจริงและไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้มากขึ้นในระยะยาว
ความคิดเห็น 0