ในปี 2025 ตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีทั่วโลกมีพัฒนาการที่เติบโตอย่างชัดเจน โดยไม่ได้จำกัดแค่การซื้อขายพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง ‘การซื้อขายอนุพันธ์’, การสเตคเหรียญ, การตรวจสอบหลักประกันแบบเรียลไทม์ และการได้รับใบอนุญาตระดับสากล ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้แพลตฟอร์มของผู้ใช้อย่างแพร่หลาย
‘ไบแนนซ์(Binance)’ ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในฐานะแพลตฟอร์มซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยข้อได้เปรียบด้านปริมาณการซื้อขาย, จำนวนผู้ใช้งาน และสภาพคล่องที่หนาแน่น ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.1% สำหรับทั้งฝั่งเมกเกอร์และเทกเกอร์ อีกทั้งยังรองรับคู่ซื้อขายหลายร้อยคู่ จึงเหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และนักเทรดระดับสูง อย่างไรก็ตาม ‘ความคิดเห็น’ ระบบสนับสนุนลูกค้าอาจยังช้าในบางกรณี และมีบางประเทศที่ไบแนนซ์เคยเผชิญประเด็นทางกฎหมาย
‘บายบิท(Bybit)’ มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในตลาดอนุพันธ์ที่ใช้บิตคอยน์(BTC) เป็นหลัก โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แฮกระดับ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลาซารัสแห่งเกาหลีเหนือในปี 2025 บริษัทสามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วและฟื้นฟูระบบได้อย่างน่าประทับใจ แพลตฟอร์มนี้มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น คัดลอกการเทรดเพื่อช่วยเหลือมือใหม่ รวมไปถึงส่วนลดจากค่าธรรมเนียมอนุพันธ์ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในบางประเทศเนื่องจากกฎระเบียบท้องถิ่น
‘คอยน์เบส(Coinbase)’ เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนในสหรัฐอย่างสูง ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มคริปโตแห่งแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้มีความโปร่งใสและปลอดภัยสูง จุดเด่นของคอยน์เบสคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและระบบประกันสินทรัพย์สำหรับผู้ใช้ ทว่า ‘ความคิดเห็น’ ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่าคู่แข่ง และการบริการลูกค้าอาจล่าช้าในบางกรณี
สำหรับนักลงทุนที่มองหาค่าธรรมเนียมที่ถูกลงและต้องการลงทุนในเหรียญทางเลือก (Altcoin) ที่หลากหลาย แนะนำ ‘คูคอยน์(KuCoin)’ หรือ ‘OKX’ โดยคูคอยน์มีสินทรัพย์ให้เลือกมากกว่า 9,000 รายการ และหากถือโทเคน KCS ของแพลตฟอร์มก็จะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม คูคอยน์เคยถูกปรับในสหรัฐจากปัญหาไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และอาจมีความเสี่ยงด้านกฎหมาย ‘OKX’ ให้บริการฟังก์ชันขั้นสูงด้านอนุพันธ์ การถือครองผ่านกระเป๋า Web3 และการเทรดออปชันซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนระดับกลางขึ้นไป
ด้านผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความปลอดภัย’ และ ‘การปฏิบัติตามกฎระเบียบ’ แนะนำให้พิจารณา ‘บิทสแตมป์(Bitstamp)’ และ ‘คราเคน(Kraken)’ ทั้งสองมีประวัติยาวนาน และเป็นไปตามข้อกำหนดที่เข้มงวดของยุโรปและสหรัฐ บิทสแตมป์ซึ่งก่อตั้งในปี 2011 มีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 ถูกเข้าซื้อโดยบริษัทโรบินฮูด คราเคนเน้นให้บริการในสหรัฐ มีใบอนุญาตธนาคาร และรองรับคู่ซื้อขายที่ใช้สกุลเงินทั่วไปอย่างกว้างขวาง
ในกลุ่มแพลตฟอร์มเฉพาะกลุ่มก็ยังมี ‘บิทเม็กซ์(BitMEX)’, ‘ไพรม์เอ็กซ์บีที(PrimeXBT)’ และ ‘เฟเม็กซ์(Phemex)’ ที่มุ่งเป็นทางเลือกด้านเลเวอเรจสูง การเทรดสินทรัพย์แบบเดียวกับการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) เช่น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น โดยเฉพาะ ‘ไพรม์เอ็กซ์บีที’ ที่เปิดให้เทรดหลายประเภทสินทรัพย์ในแพลตฟอร์มเดียว อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงในบางภูมิภาค เช่น สหรัฐและแคนาดา
ปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกแพลตฟอร์มคือ ‘ความปลอดภัย’ และ ‘การปฏิบัติตามกฎระเบียบ’ ปัจจุบันแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ใช้ระบบยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA), จัดเก็บสินทรัพย์ในกระเป๋าเย็น, มีการเปิดเผยความมั่นคงของเงินฝากและมาร์จิ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ค่าธรรมเนียมโครงสร้างการเทรด, ประเภทสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขาย, ความสะดวกในการใช้งานผ่านมือถือ, ฟีเจอร์ขั้นสูง และบริการหลังการขายก็ล้วนเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ
ปี 2025 มาถึงแล้ว และในภาพรวม ‘ไบแนนซ์’ ยังถือเป็นผู้นำในหมู่แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง และฟีเจอร์ครอบคลุมทั้งมือใหม่ไปจนถึงมือโปร ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง ‘XXKK’ ที่รองรับทั้งคริปโตและสินทรัพย์ดั้งเดิม, ‘OKX’ และ ‘คูคอยน์’ ที่มีฟังก์ชันครบถ้วน, ‘บิทสแตมป์’ และ ‘คราเคน’ ที่เน้นความน่าเชื่อถือ และ ‘บิทเม็กซ์’ ที่เหมาะกับนักลงทุนสายเสี่ยง ต่างก็มีข้อดีแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเลือกแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การลงทุน สอดคล้องกับกฎหมายในพื้นที่ของตน และพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีหรือทำการซื้อขายจริง
ความคิดเห็น 0