ราคาทองคำทะยานทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 5.56 ล้านบาท) ขณะที่ราคาซิลเวอร์พุ่งแตะจุดสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 69,500 บาท) สะท้อนถึงความคึกคักของตลาดโลหะมีค่า สาเหตุหลักมาจากความต้องการ ‘ป้องกันเงินเฟ้อ’ ที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเริ่มมองว่าอาจเกิดการไหลออกของเงินทุนจากทองคำไปยังสินทรัพย์ทางเลือก เช่น *บิตคอยน์(BTC)*
เฉพาะในปี 2024 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแล้วกว่า *50%* ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าอาจเข้าสู่ภาวะร้อนแรงเกินไปหรือล้นตลาด นิค เพอร์คริน(Nic Puckrin) ผู้ก่อตั้ง Coin Bureau ระบุว่า ท่ามกลางราคาทองคำที่พุ่งทะยาน ความสนใจของนักลงทุนเริ่มเบนเป้าไปที่สินทรัพย์อื่นที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนคล้ายกันได้ โดยอาจรวมถึงโลหะอื่น สินทรัพย์จริงที่ถูก ‘โทเคนไรซ์’ แล้ว และ *บิตคอยน์ที่ยังถูกประเมินต่ำเกินไป*
ประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับรายงานการคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์ซึ่งระบุว่า ราคาทองคำอาจแตะระดับ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 6.81 ล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2026 อย่างไรก็ดี เสียงเตือนจากบางฝ่ายชี้ชัดว่าการไหลเข้าของเม็ดเงินอาจสะท้อนแรงเก็งกำไร และเสี่ยงต่อการเทขายทำกำไรในระยะสั้น
เมื่อภาพรวมของตลาดโลหะมีค่าเริ่มส่งสัญญาณใกล้จุดสูงสุด ความสนใจของนักลงทุนจึงเริ่มเบนเข็มไปยังสินทรัพย์ที่มีลักษณะเป็น ‘ที่เก็บมูลค่า’ เช่น *บิตคอยน์*, สินทรัพย์โทเคนไรซ์ หรือวัตถุดิบบางประเภท โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่ในปี 2024 นี้สามารถทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งติดต่อกัน ตอกย้ำบทบาทของคริปโตเบอร์หนึ่งในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
เมื่อนำปัจจัยมหภาค เช่น วิกฤตการคลัง การขยายตัวของเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เข้าสู่สมการ ยิ่งส่งผลให้ ‘ดอลลาร์อ่อนค่า’ รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เหล่านักลงทุนต่างแสวงหา ***ทางเลือกใหม่หลังจากทองคำ*** และ ‘บิตคอยน์’ ก็กลายเป็นจุดที่หลายฝ่ายหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง ซึ่ง *ความคิดเห็น* นี้อาจตอกย้ำแนวโน้มที่สินทรัพย์ดิจิทัลกำลังก้าวเข้าสู่ระบบการเงินกระแสหลัก.
ความคิดเห็น 0