บิตคอยน์(BTC) ร่วงลงอย่างรวดเร็วกว่า 32,000 ดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 10 วัน หลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยยังไม่มีสาเหตุชัดเจนเดียวที่อธิบายได้แน่ชัด แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ามีอย่างน้อย 4 ปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง
ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะท่าทีแข็งกร้าวจากประธานาธิบดีทรัมป์ต่อจีน ซึ่งขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ทรัมป์วิจารณ์จีนเรื่องความไม่โปร่งใสด้านข้อมูล และกล่าวว่ารัฐบาลจะยกระดับมาตรการตอบโต้ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ดิ่งลงจาก 122,000 ดอลลาร์ เหลือเพียง 117,000 ดอลลาร์ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง และในบางตลาดที่เกิดการชำระบัญชีจากตำแหน่งฟิวเจอร์ส ราคาถถึงลดลงถึง 101,000 ดอลลาร์
อีกหนึ่งแรงกดดันคือ ‘ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์’ จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังทรัมป์พบกับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ตามมาด้วยข่าวว่าเขาอาจปฏิเสธการส่งมอบขีปนาวุธ Tomahawk ให้กับยูเครน จึงยิ่งลดทอนความเชื่อมั่นของตลาด ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางสหรัฐเข้าสู่ภาวะ "ชัตดาวน์" มาเกิน 2 สัปดาห์ ยิ่งซ้ำเติมความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพการคลัง
นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังสั่นคลอนจาก ‘วิกฤตความเชื่อมั่นในภาคธนาคารของสหรัฐ’ โดยธนาคารไซออนส์ แบงก์(Zions Bancorp) เผยขาดทุนจากสินเชื่อเชิงพาณิชย์ในรัฐแคลิฟอร์เนียราว 50 ล้านดอลลาร์ และเวสเทิร์น อัลลายแอนซ์(Western Alliance) ยื่นฟ้องลูกหนี้ในคดีฉ้อโกง กรณีเหล่านี้กระตุ้นความหวั่นใจในภาคการเงิน จนส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารในเอเชียและยุโรปปรับตัวลดลงพร้อมกัน แม้ในทางทฤษฎี บิตคอยน์มักถูกมองว่าเป็น ‘ทางเลือกต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม’ แต่ในเชิงปฏิบัติ ความผันผวนของสภาพคล่องได้บดบังข้อดีดังกล่าวในระยะสั้น
สาเหตุประการสุดท้ายคือ ‘แรงเทขายจากกองทุน ETF บิตคอยน์แบบสปอต’ ซึ่งเริ่มมีเม็ดเงินไหลออกอย่างชัดเจน โดยหลังมีกระแสเข้ามากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ล่าสุดในช่วงสัปดาห์เดียว มีเงินทุนมากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ถูกถอนออก โดยเฉพาะในวันพฤหัสเพียงวันเดียว มียอดไถ่ถอนสูงถึง 530 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้แรงกดดันฝั่งขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในเวลาเดียวกัน ราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่ที่ 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่นทั่วโลก ซึ่งเน้นย้ำบทบาทของทองคำในฐานะ ‘สินทรัพย์ที่หลบภัย’ มากยิ่งขึ้น สวนทางกับบิตคอยน์ที่ถูกมองว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ แต่กลับสูญเสียภาพลักษณ์ดังกล่าวลงชั่วคราว โดย "ความคิดเห็น" จากนักวิเคราะห์อย่างปีเตอร์ ชิฟฟ์(Peter Schiff) ได้วิพากษ์บิตคอยน์ว่าไม่สามารถยึดตำแหน่งในตลาดที่ผันผวนได้ แม้จะได้รับการโปรโมตว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือก
แม้บิตคอยน์จะเคยผ่านวิกฤตลักษณะนี้มาหลายครั้งและสามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว แต่รอบนี้ความเสี่ยงมีลักษณะ ‘ซับซ้อนและมีโครงสร้าง’ มากกว่าครั้งที่ผ่านมา โดยทิศทางต่อไปขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองระดับโลก เส้นทางของตลาดการเงินดั้งเดิม และ ‘เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบัน’ ว่าจะยังคงสนับสนุน หรือถอนออกจากตลาดคริปโตต่อไป
ความคิดเห็น 0