ชุมชนบิตคอยน์(BTC) กำลังเผชิญกับวิกฤตความขัดแย้งครั้งใหม่ หลัง ‘ข้อเสนอปรับปรุงบิตคอยน์ฉบับที่ 444 (BIP-444)’ ถูกเผยแพร่และก่อให้เกิดกระแสถกเถียงอย่างลุกลาม โดยใจความของข้อเสนอบางส่วนระบุว่า ผู้ปฏิเสธการอัปเกรดซอฟต์ฟอร์คชุดนี้ อาจเผชิญกับ ‘ความรับผิดทางกฎหมายและศีลธรรม’ – ถ้อยแถลงนี้เองที่จุดประเด็นร้อนว่าข้อเสนอดังกล่าวมีลักษณะ ‘บีบบังคับ’
ข้อเสนอ BIP-444 ถูกเผยแพร่ผ่าน GitHub เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม โดยนักพัฒนาชื่อ dathonohm พร้อมข้อมูลว่าได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนารุ่นเก๋าอย่าง ลุค แดชจูเนียร์ (Luke Dashjr) แนวคิดหลักของข้อเสนอคือการกำหนด ‘ซอฟต์ฟอร์คเพื่อจำกัดข้อมูลชั่วคราว’ ซึ่งหมายถึงการลดขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลผ่านคำสั่ง OP_RETURN บนเชน — โดยเฉพาะอย่างยิ่ง **เพื่อป้องกันการสร้างธุรกรรมที่บรรจุภาพหรือวิดีโอที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน**
เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวนี้เริ่มต้นจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ ‘บิตคอยน์ คอร์ 30’ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ OP_RETURN สามารถจัดเก็บข้อมูลได้สูงสุดราว 4MB นำไปสู่ภาวะที่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอาจถูก ‘สลักถาวร’ ลงบล็อกเชนได้ ผู้เสนอจึงให้เหตุผลว่าหากไม่มีการควบคุม อาจทำให้โนดทุกเครื่องแบกรับความเสี่ยงทางกฎหมายจากเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย – ความคิดเห็นของแดชจูเนียร์ยิ่งเติมเชื้อในประเด็นนี้โดยกล่าวว่า “คอร์ 30 คือหายนะโดยแท้”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างแรงกระแทกแก่ชุมชนไม่ใช่แค่เนื้อหาทางเทคนิค แต่คือ ‘ถ้อยคำในเอกสาร’ ที่ระบุชัดเจนว่าผู้ไม่สนับสนุนข้อเสนออาจต้องรับผิดชอบในระดับกฎหมาย หรืออาจทำให้บิตคอยน์แตกแยกเป็นอัลท์คอยน์เช่นเดียวกับกรณี Bcash ในอดีต นักพัฒนาหลายรายจึงมองว่าเป็นการข่มขู่ ตัวอย่างเช่น นิเตช(Nitesh) แสดงความเห็นว่า “นี่ไม่ต่างจากที่รัฐบาลใช้อำนาจกดดันเราเลย”
จุดที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือแนวคิด ‘การรีออร์แกไนซ์เชน’ หรือการย้อนกลับประวัติบล็อก หากพบว่ามีการบรรจุข้อมูลผิดกฎหมาย – แนวทางนี้ถูกมองว่า ‘ฝืนหลักการความไม่เปลี่ยนแปลง (immutability)’ ที่เป็นศูนย์กลางของบิตคอยน์มานาน บางฝ่ายจึงเห็นว่าหากใช้แนวทางนี้ จะเป็นการเปิดช่องให้บิตคอยน์สูญเสียจุดยืนที่แตกต่างไปจากระบบการเงินแบบเดิม
นอกจากมิติด้านปรัชญา ยังมีข้อกังวลทางเทคนิค เช่น ข้อจำกัดใหม่บนสคริปต์ Taproot และการยกเลิก OP_IF ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ฟังก์ชันสืบทอดมรดก การกู้คืนวอลเล็ต หรือการใช้ลายเซ็นหลายชั้น – นักพัฒนาอย่าง สเตฟาน ลิเบอรา(Stephan Livera) เตือนว่าอาจกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการใหม่ๆ เช่น BitcoinVM
BitMEX Research ยังได้แสดงความกังวลว่า กลุ่มที่มีเจตนาร้ายอาจใช้ข้อเสนอนี้เป็นช่องทางโจมตี เช่น การอัปโหลดเนื้อหาผิดกฎหมายเพื่อเปิดทางให้มีการย้อนเชน แล้วใช้จังหวะนั้นในการโจมตีแบบดับเบิลสเปนด์ ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมายที่ BIP พยายามปกป้องอย่าง ‘การต่อต้านสแปม’
แม้เสียงวิจารณ์จะดังกระหึ่ม แต่ยังมีนักพัฒนาบางรายเห็นว่า BIP-444 อาจเป็น ‘มาตรการชั่วคราว’ เพื่อควบคุมในระยะสั้น _Checkmate นักวิเคราะห์จาก Onchain Analytics กล่าวว่าการจำกัดข้อมูลเพียง 2 สัปดาห์อาจช่วยตัดวงจรสแปมได้ ด้านแดชจูเนียร์ก็ย้ำว่า “ข้อเสนอนี้ไม่มีข้อเสียทางเทคนิค” และยืนยันว่าจุดประสงค์หลักเพื่อสกัดธุรกรรมขยะที่ใช้ทับรูตเป็นเครื่องมือ
ถึงกระนั้น ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดคือข้อเสนอ BIP-444 อาจเป็น ‘จุดเปลี่ยนของปรัชญาการพัฒนา’ ของบิตคอยน์มาตลอด ซึ่งเน้นการพัฒนาแบบกระจายศูนย์ และการได้มาซึ่งฉันทามติผ่านการพูดคุยอย่างเป็นระบบ นักพัฒนารายหนึ่งกล่าวสรุปอย่างเสียดสีว่า “ข้อเสนอนี้คือแนวทางแบบ ‘YOLO’ – ทำก่อนคิดทีหลัง”
ในขณะนี้ BIP-444 ยังไม่ถูกนำมาใช้จริง และจะต้องผ่านกระบวนการหารือจากทั้งชุมชนอีกพักใหญ่ แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ กระแสดังกล่าวได้กลายเป็นบททดสอบสำคัญที่อาจเปลี่ยนทิศทางของ ‘ธรรมาภิบาล’ และ ‘ปรัชญาหลัก’ ของเครือข่ายบิตคอยน์ไปอย่างสิ้นเชิง.
ความคิดเห็น 0