คลาร์นาเปิดตัวเหรียญเสถียร KlarnaUSD จับมือคอยน์เบสดึงนักลงทุนสถาบันสู่บล็อกเชน

บริษัทคลาร์นา (Klarna) ฟินเทคจากสวีเดนที่รู้จักกันดีจากบริการ 'ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง' หรือ BNPL ได้ก้าวสู่ตลาดคริปโตอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการประกาศเปิดตัว ‘KlarnaUSD’ เหรียญเสถียรที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนก่อน พร้อมทั้งร่วมมือกับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอย่างคอยน์เบส(Coinbase) เพื่อเปิดช่องทางระดมทุนระยะสั้นจากนักลงทุนสถาบันในรูปแบบดิจิทัล

เมื่อวันที่ 24 คำแถลงจากบริษัทระบุว่าคลาร์นาจะใช้โครงสร้างพื้นฐานจากคอยน์เบส เพื่อดึงดูดเงินทุนผ่านเหรียญยูเอสดีซี(USDC) ซึ่งเป็นเหรียญเสถียรที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็น ‘การเปิดประตูสู่แนวทางระดมทุนใหม่’ ที่เชื่อมระหว่างระบบการเงินดั้งเดิมและเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างลงตัว

นายนิคคลาส เนอกเลน (Niclas Neglén) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของคลาร์นา แสดงความคิดเห็นว่า “เหรียญเสถียรเชื่อมโยงเรากับนักลงทุนสถาบันในรูปแบบใหม่ และเปิดโอกาสให้คลาร์นาสามารถกระจายแหล่งเงินทุนในวิธีที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน” พร้อมย้ำว่าแนวคิดนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และแยกออกจากแผนคริปโตที่มุ่งเป้าไปยังผู้บริโภคและร้านค้าของคลาร์นา ซึ่งอาจรวมถึงการออกกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือบริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ภายในปี 2026

ในปัจจุบัน คลาร์นายังคงใช้แหล่งเงินทุนหลายรูปแบบ เช่น เงินฝากผู้ใช้งานทั่วไป หนี้ระยะยาว และพันธบัตรระยะสั้น โดยการเพิ่มเหรียญเสถียรเข้ามา ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่เสริมความยืดหยุ่นด้านการเงินในระดับองค์กร

คอยน์เบสถูกเลือกเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ เนื่องจากความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่รองรับองค์กรขนาดใหญ่ ปัจจุบันคอยน์เบสให้บริการกับบริษัทมากกว่า 260 แห่งทั่วโลก ทั้งด้านการจัดเก็บสินทรัพย์ การชำระบัญชี และบริการทางการเงินบนบล็อกเชน

สำหรับเหรียญ KlarnaUSD ซึ่งเปิดตัวบนเทสท์เน็ตของเครือข่ายเทมโป(Tempo) เมื่อเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นเหรียญเสถียรแรกที่ออกโดยธนาคารดิจิทัลบนบล็อกเชนเลเยอร์ 1 แห่งใหม่ที่พัฒนาโดยสตริป(Stripe) และพาราไดม์(Paradigm) การออกเหรียญดังกล่าวดำเนินการผ่านบริษัท Bridge ซึ่งเป็นบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานเหรียญเสถียรในเครือสตริป ยิ่งตอกย้ำความร่วมมือระยะยาวระหว่างคลาร์นาและสตริปในเครือข่ายการชำระเงินระดับโลก

การเปิดตัว KlarnaUSD ยังเกิดขึ้นภายใต้บริบทของ กฎหมาย GENIUS Act ที่ผ่านในสหรัฐเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็น ‘แรงขับเคลื่อนสำคัญ’ ที่ช่วยสร้างความชัดเจนด้านกฎเกณฑ์สำหรับตลาดเหรียญเสถียร และส่งผลให้เกิดคลื่นของการออกเหรียญใหม่จากหลากหลายองค์กรทั่วโลก