ในปี 2025 สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์(BTC)ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกของนักลงทุนกลุ่มเฉพาะอีกต่อไป หลายประเทศทั่วโลกเริ่มบูรณาการคริปโตเข้าสู่ยุทธศาสตร์ด้านการเงิน พลังงาน รวมถึงการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ กลายเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญที่ ‘การทดลอง’ ถูกแทนที่ด้วย ‘การยอมรับ’ ในระดับนโยบายของรัฐ
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่สหรัฐ เมื่อรัฐบาลกลางประกาศจัดตั้ง ‘คลังสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ’ (Strategic Bitcoin Reserve) อย่างเป็นทางการ และยุติการขายบิตคอยน์ที่ยึดได้จากคดีต่าง ๆ แบบอัตโนมัติในอดีต พร้อมนำเข้าสู่บัญชีงบดุลในฐานะสินทรัพย์ระยะยาว แทนที่จะมองเป็นสินทรัพย์เก็งกำไรชั่วคราว การตัดสินใจครั้งนี้ขับเคลื่อนโดยฝ่ายบริหาร ไม่ใช่สภาคองเกรส สะท้อนมุมมองใหม่ที่ ‘บิตคอยน์’ คือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าระดับประเทศ
ในขณะที่ฝั่งตะวันออกกลาง อาหรับเอมิเรตส์(UAE) ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางกำกับดูแลคริปโตของภูมิภาค โดยมีการวางโครงสร้างกฎหมายที่ชัดเจนผ่านหน่วยงานเฉพาะอย่างสำนักงานกำกับสินทรัพย์เสมือนดูไบ(VARA) และตลาดการเงินระดับโลกอาบูดาบี(ADGM) โครงสร้างกฎระเบียบนี่เองที่ดึงดูดทั้งบริษัทซื้อขายและผู้ให้บริการดูแลสินทรัพย์ขนาดใหญ่เข้ามา ชี้ว่าความชัดเจนด้านกฎหมายเริ่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนให้ความสำคัญ มากกว่าการคาดการณ์กำไรในระยะสั้น
เอลซัลวาดอร์ซึ่งเคยเป็นประเทศแรกที่ให้บิตคอยน์เป็นเงินถูกต้องตามกฎหมาย ตัดสินใจยกเลิกสถานะดังกล่าวหลังเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงสะสมบิตคอยน์ต่อไป โดยในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียวได้เพิ่มอีก 1,000 BTC รวมทั้งสิ้นกว่า 7,500 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 144.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,087 ล้านบาท) ท่าทีใหม่นี้สะท้อนว่าบิตคอยน์ไม่ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอีกต่อไป แต่กลายเป็น ‘เครื่องมือบริหารงบประมาณ’
อีกตัวอย่างของแนวทางเชิงปฏิบัติคือปากีสถาน ที่หันมาใช้ ‘พลังงานส่วนเกิน’ ให้เกิดประโยชน์ในภาคดิจิทัล รัฐบาลประกาศจัดสรรพลังงานไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ ให้กับศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์(AI) และกิจกรรมขุดบิตคอยน์ พร้อมดำเนินการเจรจากับไบนานซ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.89 แสนล้านบาท) ถือเป็นการนำพลังงานมาเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมคริปโตในรูปแบบใหม่
ทวีปยุโรปเองก็เริ่มดำเนินตามทิศทางนี้ โดยธนาคารกลางของเช็กประกาศทดลองซื้อบิตคอยน์จำนวนเล็กน้อย และในเดือนกรกฎาคมยังเข้าซื้อหุ้นของบริษัทคอยน์เบส(COIN) มูลค่าประมาณ 18 ล้านดอลลาร์ (ราว 260 ล้านบาท) กลายเป็นกรณีศึกษาครั้งแรกที่สถาบันการเงินแบบอนุรักษนิยมอย่างธนาคารกลาง เปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นทางการ ขณะที่บราซิลเลือกเน้นที่การวางโครงสร้างทางกฎหมาย เปิดระบบใบอนุญาตให้กับผู้ดำเนินธุรกิจคริปโต และนำสเตเบิลคอยน์เข้าสู่หมวดการควบคุมของธนาคารกลาง ทำให้การเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลักเป็นไปอย่างมีระเบียบ
ปี 2025 จึงไม่ใช่แค่ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน แต่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่รัฐบาลทั่วโลกต่างประกาศแนวทางชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการสะสมสินทรัพย์ การควบคุมกฎเกณฑ์ หรือการแปลงพลังงานเป็นอุตสาหกรรมดิจิทัล ‘การยอมรับคริปโต’ ไม่ใช่เพียงแนวคิดทางทฤษฎีอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระดับชาติอย่างเป็นรูปธรรม
ความคิดเห็น: การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในปีนี้คือ ‘คริปโต’ ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมที่รอการทดลอง แต่ได้ก้าวเข้าสู่สถานะ ‘ทรัพย์สินแห่งรัฐ’ ที่แต่ละประเทศปรับใช้ตามบริบทของตน นี่อาจเป็นสัญญาณว่า การยอมรับระดับโลก กำลังเข้าใกล้ความจริงทุกขณะ
ความคิดเห็น 0