อีเธอเรียม(ETH) พุ่ง 30% สวนกระแสตลาด แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนอาจเป็นกับดักไม่ใช่จุดฟื้นตัว

อีเธอเรียม(ETH) ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ตามการวิเคราะห์ของแพลตฟอร์มออนเชน ‘คริปโตควอนต์’ ราคาของอีเธอเรียมยังคงซื้อขายใน ‘ส่วนลด’ เมื่อเทียบกับบิตคอยน์(BTC) ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่รอบวัฏจักรที่ผ่านมา

รายงานประจำสัปดาห์ของคริปโตควอนต์ระบุว่า อัตราส่วน MVRV ของคู่ ETH/BTC ซึ่งใช้วัดมูลค่าตลาดเทียบกับมูลค่าที่รับรู้ได้ เข้าสู่โซน ‘ถูกประเมินต่ำมาก’ ในอดีต ระดับนี้มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการพุ่งขึ้นของอีเธอเรียม แต่ในรอบนี้ ปัจจัยพื้นฐานกลับดูไม่เอื้ออำนวยเท่าที่เคย

คริปโตควอนต์ชี้ว่า สภาพตลาดในปัจจุบันเผชิญกับ ‘แรงต้านหลัก’ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิด ‘ซัพพลายลดลง’ ซึ่งเคยเป็นจุดเด่นของอีเธอเรียม กำลังถูกตั้งคำถาม หลังจากปริมาณเหรียญทั้งหมดแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 120.7 ล้านเหรียญ ผลกระทบหลักมาจากการอัปเกรด ‘เดนคัน’ เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งทำให้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมลดลง ส่งผลให้การเผาเหรียญน้อยลง และแรงกดดันจากเงินเฟ้อเริ่มกลับมาอีกครั้ง

นอกจากนี้ กิจกรรมบนเครือข่ายเองก็ซบเซา หลังจากการเติบโตของเครือข่ายเลเยอร์ 2 (L2) ตั้งแต่ปี 2021 ที่ช่วยกระจายปริมาณการใช้งานออกไปจากเมนเน็ต แม้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับลดความต้องการใช้ ‘พื้นที่บล็อก’ ของ Ethereum ลง ทำให้บทบาทพื้นฐานของ ETH ในฐานะโทเคนยูทิลิตี้ลดลงไปด้วย

ความสนใจจากสถาบันการลงทุนก็ซาไปอย่างเห็นได้ชัด โดยปริมาณ ETH ที่ถูกนำไป ‘สเตค’ ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 35 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 เหลือ 34.4 ล้านเหรียญ ขณะที่กองทุน ETF ต่าง ๆ ก็เทขายไปแล้วกว่า 400,000 ETH ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ถึงกระนั้น ราคาของอีเธอเรียมพุ่งแตะระดับ 2,400 ดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพุ่งขึ้นกว่า 30% ภายในสัปดาห์เดียว แซงหน้าบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นเพียง 7.5% และตลาดคริปโตโดยรวมที่โตขึ้นราว 8% การวิ่งขึ้นครั้งนี้สอดคล้องกับการอัปเกรดแพกตรา(Pectra) ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งมาพร้อมกับข้อเสนอ EIP ใหม่ 11 รายการ ที่เน้นการปรับปรุงกลไกสเตคและการจัดการบัญชี

แม้อดีตจะชี้ว่า ‘ETH ราคาถูกกว่า BTC’ เป็นสัญญาณที่ดีในการซื้อ แต่คริปโตควอนต์เตือนว่า ครั้งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น โดย ‘ความคิดเห็น’ กล่าวว่า ความไม่แน่นอนด้านอันดับความน่าสนใจของสินทรัพย์ ปัญหาเงินเฟ้อที่กลับมา และกิจกรรมเครือข่ายที่หดตัว อาจทำให้การประเมินต่ำในคราวนี้กลายเป็น ‘กับดัก’ มากกว่าฐานของการฟื้นตัว