บิตเลเยอร์ผนึกกำลัง 3 พูลขุดใหญ่ หนุนสมาร์ตคอนแทรกต์บนบิตคอยน์(BTC) ด้วยแฮชเรต 31.5%

เทคโนโลยีของระบบสมาร์ตคอนแทรกต์บนบิตคอยน์(BTC) ที่พัฒนาโดยโครงการบิตเลเยอร์(Bitlayer) ได้รับการสนับสนุนจากพูลขุดรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งกำลังขุดกว่า *31.5%* ของเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งการสนับสนุนนี้ถูกมองว่าอาจเป็น ‘แรงขับเคลื่อนหลัก’ ในการทำให้ระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมั่นคงบนบล็อกเชนของบิตคอยน์จริงจังมากยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม บิตเลเยอร์เปิดเผยผ่าน Cointelegraph ว่า แพลตฟอร์มของตนได้รับความร่วมมือจากพูลขุดยอดนิยมอย่าง Antpool, F2Pool และ SpiderPool ซึ่งล้วนเป็นผู้เล่นคนสำคัญในระบบการขุดบิตคอยน์ โดย แอนดี เจา(Andy Chow) ซีอีโอของ Antpool กล่าวว่า “Antpool ได้ทำหน้าที่เป็นบริดจ์โอเปอเรเตอร์ให้กับบิตเลเยอร์ เพื่อสนับสนุนการปฏิวัติของบิตคอยน์ และคุ้มครองผลประโยชน์ของนักขุด”

บิตเลเยอร์เป็นการนำแนวคิด ‘BitVM’ ซึ่งเสนอโดย โรบิน ลินัส(Robin Linus) ในปี 2023 มาพัฒนาและใช้งานจริง BitVM นี้ ช่วยให้สามารถสร้างสมาร์ตคอนแทรกต์ที่ซับซ้อนบนเครือข่ายบิตคอยน์ได้ *โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนโปรโตคอลหลักของบิตคอยน์เอง* โดยกระบวนการจะคำนวณแบบออฟเชนและยืนยันบนออนเชน ซึ่งคล้ายกับ Optimistic Rollup บนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH)

ภายใต้โครงสร้างนี้ บิตเลเยอร์กำลังพัฒนาเครือข่ายที่สามารถเชื่อมโยงบิตคอยน์เข้าสู่โลกดีไฟน์(DeFi) และเลเยอร์ 2 ได้อย่างอิสระ โดย แอนดี เจา ให้ความเห็นว่า “เมื่อการใช้งานของบิตคอยน์เพิ่มขึ้น กิจกรรมบนเครือข่ายย่อมเติบโตควบคู่ ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งในยุคที่รางวัลบล็อกลดลง โมเดลรายได้จากค่าธรรมเนียมจึงกลายเป็นหัวใจในการอยู่รอดของนักขุด”

บทบาทของพูลขุดมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อการใช้งาน BitVM เพราะระบบดังกล่าวต้องอาศัยธุรกรรมเฉพาะที่อิงจาก Taproot และอาจมีความซับซ้อนด้านสคริปต์ ซึ่งนักขุดจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าธุรกรรมประเภทนี้จะถูกรวมอยู่ในบล็อกหรือไม่ หากไม่มีความร่วมมือจากนักขุด โปรโตคอลทั้งหมดก็จะไม่สามารถใช้งานได้จริง

ข้อมูลจาก Hashrate Index ณ วันที่ 26 พฤษภาคม ระบุว่า Antpool มีส่วนแบ่งแฮชเรต 17.2% ขณะที่ F2Pool และ SpiderPool มีสัดส่วน 8.2% และ 6.1% ตามลำดับ รวมกันเป็น *31.5%* ซึ่งคิดเป็นพลังประมวลผลที่เชื่อมั่นและสนับสนุนระบบของบิตเลเยอร์ในอนาคต

*ความคิดเห็น*: การสนับสนุนอย่างแข็งขันจากสามพูลขุดรายใหญ่ครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการผลักดันบิตคอยน์ให้สามารถรองรับระบบสมาร์ตคอนแทรกต์และการใช้งานดีไฟน์ได้จริงบนเครือข่ายหลัก ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าเชิงโครงสร้างที่นักพัฒนาและนักลงทุนต่างจับตามอง