ผลวิจัยล่าสุดจาก ‘คอยน์อีซี่(CoinEasy)’ ชี้ให้เห็นว่า ‘ดาร์กเมมพูล(Dark Mempool)’ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครือข่ายของบิตคอยน์(BTC) กำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของประเด็นด้านความเป็นส่วนตัว กลยุทธ์ และการรวมศูนย์ในระบบบล็อกเชน ดาร์กเมมพูลไม่ใช่พื้นที่สาธารณะเหมือนเมมพูล(Mempool) ทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ลับที่ส่งผลต่อ *ความเร็ว* *ค่าธรรมเนียม* และ *ความลับของธุรกรรม* อย่างสำคัญ เป็นพื้นที่ที่อาจเปลี่ยนแปลงแรงสั่นสะเทือนของระบบนิเวศบล็อกเชนอย่างคาดไม่ถึง
ในระบบปกติ เมมพูลคือพื้นที่ที่ธุรกรรมยังไม่ถูกเพิ่มลงในบล็อก ซึ่งโหนดของบิตคอยน์แต่ละตัวยังคงมีเมมพูลของตนเอง และจะทำงานร่วมกันผ่านโปรโตคอล Gossip โปรโตคอลนี้ทำให้โหนดต่างๆ สามารถแชร์รายการธุรกรรมกันได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการกรองหรือเซ็นเซอร์ เช่น การปฏิเสธธุรกรรมที่ใช้ ‘ที่อยู่ต้องห้าม’ หรือเป็นธุรกรรม ‘ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน’ ธุรกรรมเหล่านี้จะไม่มีวันเข้าสู่เมมพูลทั่วไป และไหลเข้าสู่ *ดาร์กเมมพูล* แทน
คอยน์อีซี่นิยามดาร์กเมมพูลว่าเป็น *‘พูลธุรกรรมแบบส่วนตัวที่ไม่ปรากฏในเครือข่ายสาธารณะ’* ธุรกรรมในพื้นที่นี้เกิดจากข้อตกลงส่วนตัวกับนักขุดบางกลุ่มหรือสถาบันเฉพาะ และไม่สามารถตรวจสอบโดยผู้ใช้งานทั่วไปหรือโหนดสาธารณะได้ ผู้ใช้ดาร์กเมมพูลจะได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกธุรกรรมเข้าบล็อกก่อนเพื่อน รวมถึงต้นทุนในการทำธุรกรรมที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
นักลงทุนสถาบันและเว็บเทรดรายใหญ่เริ่มนิยมใช้ช่องทางนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีแบบ Front-Running ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในเมมพูลสาธารณะ ที่ทุกธุรกรรมสามารถถูกมองเห็นแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้คู่แข่งสามารถเสนอค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า และช่วงชิงตำแหน่งในบล็อกได้ก่อน ดาร์กเมมพูลจึงกลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ที่ใช้ *ปกปิดข้อมูลธุรกรรม* ก่อนรายการนั้นจะถูกนำเข้าบล็อก
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเริ่มแสดงความกังวลในแง่ของ *ความโปร่งใส* และ *ความยุติธรรมของตลาด* เพราะดาร์กเมมพูลส่งผลต่อ *ความไม่สมดุลของข้อมูล* และ*การรวมศูนย์* แบบไม่ตั้งใจ คอยน์อีซี่ยังเชื่อมโยงดาร์กเมมพูลกับแนวคิดของ MEV (Maximal Extractable Value) ซึ่งเป็นพฤติกรรมบิดเบือนตลาดที่หัวขุดสามารถดึงผลประโยชน์สูงสุดผ่านการจัดเรียงธุรกรรมได้
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า การใช้งานดาร์กเมมพูลในเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) พุ่งขึ้นจาก 7% ในปี 2022 เป็นมากกว่า 15% ในปัจจุบัน บิตคอยน์เองก็กำลังเดินตามแนวโน้มดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีโหนดที่เลือกกรองธุรกรรมเพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้โปรโตคอลอย่าง Ordinals และ Runes จึงหันไปพึ่งพาดาร์กเมมพูลเพื่อข้ามข้อจำกัดของเมมพูลทั่วไป
แม้ดาร์กเมมพูลจะมาพร้อมข้อดีในด้าน *ความเป็นส่วนตัว* ความเร็วของธุรกรรม และ *ความสามารถในการคาดการณ์ต้นทุน* แต่ก็ขัดกับหลักการพื้นฐานของบล็อกเชนที่ให้ความสำคัญกับ *การเปิดเผยและความเท่าเทียม* คอยน์อีซี่สรุปปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น *“พื้นที่สีเทาระหว่างอุดมคติกับความเป็นจริง”* ซึ่งอาจเป็นทั้ง *โอกาส* และ *ความเสี่ยง* ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ใช้งาน
บิตคอยน์ไม่ใช่เพียงระบบเครือข่ายเดียวที่มีกฎตายตัว แต่คือกลุ่มของโหนดที่มีแนวทางและนโยบายหลากหลาย ดาร์กเมมพูลจึงสะท้อนถึง *วิวัฒนาการของเครือข่าย* และการเปลี่ยนผ่านของแนวคิดเรื่องธุรกรรม จากเพียงการรับ-ส่ง มาเป็นเกมระหว่าง *กลยุทธ์* และ *โครงสร้างอำนาจ* อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0