เหรียญคริปโตอย่าง ‘ซุย(SUI)’ กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดในปี 2024 โดยปรับตัวสูงขึ้นถึง *427%* ภายในปีนี้ โดยแซงหน้า *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* ให้ผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนต้องจับตา ทว่าท่ามกลางการพุ่งทะยานของราคานั้น กลับเกิดเหตุการณ์ที่ถูกหยิบยกเป็นกรณีศึกษาอันเจ็บปวด นั่นคือการที่ *FTX* ตัดสินใจขายเหรียญซุยทั้งหมดเพียง *96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,334 ล้านบาท)* ก่อนจะล้มละลาย และเหรียญดังกล่าวในปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่านั้นหลายเท่าตัว
FTX ได้สิทธิ์ในเหรียญซุยจากสัญญาที่ลงนามเมื่อปี 2023 โดยขณะนั้นสามารถเข้าถึงเหรียญซุยได้มากถึง *1.6 พันล้านเหรียญ* โดยแบ่งเป็นการซื้อครั้งแรกจำนวน *888 ล้านเหรียญ ในราคาเพียง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 14 ล้านบาท)* และการลงทุนเพิ่มเติมอีก *101 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,388 ล้านบาท)* เพื่อรับเหรียญที่เหลือ ทว่าก่อนการเปิดตัวเมนเน็ตของเหรียญเพียงสองเดือนในเดือนมีนาคม 2023 FTX กลับขายเหรียญทั้งหมดคืนให้กับบริษัทผู้พัฒนา *มิสเทนแล็บส์*(Mysten Labs) ในราคาเพียง 96 ล้านดอลลาร์
แต่เมื่อราคาซุยพุ่งขึ้นจนแตะระดับ *4.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ* มูลค่าเหรียญชุดเดียวกันนั้นในปัจจุบันพุ่งทะลุ *6.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 89,376 ล้านบาท)* ส่งผลให้ FTX สูญเสียโอกาสฟื้นตัวจากผลกระทบของการล้มละลายเป็นอย่างมาก หาก FTX ยังคงถือครองเหรียญไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นไปได้ว่าความสามารถในการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้อาจดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
‘ความคิดเห็น’: การตัดสินใจของ FTX เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะตึงตัวด้านสภาพคล่อง สืบเนื่องจากวิกฤตความเชื่อมั่นหลังจากกรณีอื้อฉาวของบริษัทในเครืออย่าง *อาลาเมดา รีเสิร์ช* จนนำไปสู่การถอนเงินครั้งใหญ่ โดย FTX จำเป็นต้องชำระคืนสินทรัพย์ของลูกค้า จึงเลือกขายซุยเพื่อเติมสภาพคล่องในระยะสั้น อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางรายมองว่า นี่คือจุดผิดพลาดสำคัญที่ลดศักยภาพการฟื้นฟูของกิจการในระยะยาว
ด้านของตัวเหรียญซุย ความนิยมที่เพิ่มขึ้นมีฐานมาจาก *นวัตกรรมทางเทคโนโลยี* และการนำไปใช้งานใน *โลกดีไฟ (DeFi)* ที่เพิ่มขึ้น ซุยมีโครงสร้างแบบ ‘Object-based’ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายขนาด รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ จนปริมาณธุรกรรมและมูลค่ารวมที่ถูกฝาก(TVL) เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นแรงหนุนสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะเดียวกัน ฝ่ายของ *มิสเทนแล็บส์* เองก็ถูกมองว่าเป็นผู้ ‘เล่นเกม’ อย่างชาญฉลาด ด้วยการซื้อคืนเหรียญจาก FTX ถือเป็นการ *ควบคุมโครงสร้างการแจกจ่ายเหรียญในช่วงต้น* ทำให้สามารถประคองตลาดและกำกับทิศทางของโครงการในระยะเริ่มต้นได้ดียิ่งขึ้น เหตุการณ์นี้ยังเปิดช่องให้วงการหันกลับมาประเมินบทบาทของผู้พัฒนาโปรเจกต์ในการควบคุมการไหลเวียนของเหรียญในตลาด
กรณีของ FTX และซุยนับเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำหรับโลกคริปโตในปัจจุบัน เพราะเน้นย้ำให้เห็นว่า *การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ* อาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและการกำหนดมูลค่าของโครงการในระยะยาวได้อย่างไม่คาดคิด
ความคิดเห็น 0