คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) วางแผนที่จะลดขั้นตอนสำหรับการ ‘โทเคนไนซ์ (Tokenization)’ หลักทรัพย์ให้ง่ายขึ้น แต่ประเด็นกลับอยู่ที่ว่า หากไม่มี ‘นวัตกรรมและประสิทธิภาพจริง’ มากำกับ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจ ‘ไม่ก่อประโยชน์ที่แท้จริง’ ต่อผู้ลงทุน ตามคำเตือนจากบริษัทมาร์เก็ตเมกเกอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง ซิทาเดล ซีเคียวริตีส์ (Citadel Securities) ที่เพิ่งยื่นคำแถลงต่อคณะทำงานด้านคริปโตของ SEC เมื่อเร็ว ๆ นี้
ซิทาเดล ซีเคียวริตีส์ ระบุว่า “หากต้องการให้ ‘หลักทรัพย์ที่ถูกโทเคนไนซ์’ ประสบความสำเร็จ การหลีกเลี่ยงกฎระเบียบไม่ใช่แนวทางระยะยาว แต่ต้อง ‘สร้างคุณค่าแท้จริงและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผู้ร่วมตลาด’” ความเห็นนี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเร่งโครงการนั้นอาจไม่ใช่แนวทางที่จีรัง หากขาดโครงสร้างและกลยุทธ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างรอบด้าน
การโทเคนไนซ์สินทรัพย์คือการแปลงทรัพย์สินจริงให้เป็นโทเคนดิจิทัลบน ‘บล็อกเชน’ ซึ่งสามารถลดตัวกลาง เร่งการชำระเงิน และเปิดทางให้ซื้อขายแบบแบ่งส่วนได้ จึงมีความหวังว่าจะนำไปสู่ต้นทุนที่ต่ำลงและการเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น
รายงานของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า “ประโยชน์ของการโทเคนไนซ์มีแนวโน้มเติบโตในระดับ ‘เลขยกกำลัง’ ตามจำนวนสถาบันและโครงสร้างพื้นฐานที่ยอมรับและใช้งานเทคโนโลยีนี้” บ่งชี้ว่าโครงสร้างการจัดการสินทรัพย์โดยรวมของโลกอาจจำเป็นต้องปรับตัวตาม
ขณะเดียวกัน บรรษัทจัดการสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง แบล็คร็อก (BlackRock) และ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (Franklin Templeton) ก็ได้เดินหน้าเข้าสู่สมรภูมิ ‘สินทรัพย์โทเคน’ อย่างชัดเจน ส่วนแพลตฟอร์มคริปโตชื่อดังไม่ว่าจะเป็น คอยน์เบส(Coinbase), โรบินฮูด(Robinhood) หรือ คราเคน(Kraken) ก็เร่งขยายบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ‘การบรรจบกันที่ชัดเจน’ ระหว่างสองโลก คือ การเงินแบบดั้งเดิมและสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เป้าหมายยังอยู่ที่การดึงดูดความสนใจในเชิงการตลาดมากกว่าการมอบ ‘คุณค่าที่แท้จริงแก่ผู้ลงทุน’ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็อาจไร้ผลในระยะยาว ตามความเห็นของซิทาเดล ซีเคียวริตีส์ ดังนั้น นโยบายใหม่ของ SEC ต่อระบบโทเคนไนซ์จึงไม่เพียงเป็นการปรับโครงสร้าง แต่ยังเป็น ‘เครื่องมือชี้วัดคุณภาพของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต’ ที่ทุกภาคส่วนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น 0