การวิจัยโดยอเลอา รีเสิร์ช (Alea Research) เมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า ภาคการโทเคนสินทรัพย์จริง (Real World Asset - RWA) กำลังลบเส้นแบ่งระหว่างการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และการเงินแบบดั้งเดิม โดยมีโครงการเซนทริฟิวจ์(Centrifuge, CFG) เป็นตัวอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว รายงานระบุว่า CFG คือหนึ่งในช่องทางที่ครอบคลุมและเข้าใจง่ายที่สุดในการเข้าถึงสินทรัพย์จริงแบบมีรายได้ พร้อมเริ่มเห็นผลในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม
เซนทริฟิวจ์ก่อตั้งในปี 2017 และค่อย ๆ ขยายโครงสร้างพื้นฐานในด้าน RWA มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 กลยุทธ์ของบริษัทเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม CFG โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่ารวมที่ถูกล็อก(TVL) อยู่ที่ราว 1.25 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน TVL ต่อ FDV ที่ระดับ 6.28 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากหากเทียบกับคู่แข่งอย่างออนโด(ONDO) ที่มีอัตราส่วนเพียง 0.2 เท่า‘คำ’ แสดงให้เห็นว่า CFG มี ‘พื้นฐานแข็งแกร่ง’ อย่างชัดเจน
จากข้อมูลของอเลอา รีเสิร์ช CFG ใช้โครงสร้างที่เน้นสะสมมูลค่าไว้ในตัวโทเคนเดียว ซึ่งหมายความว่ารายได้ทั้งหมดจะไหลกลับสู่โทเคนหลักโดยไม่สูญเสียค่าไปยังบริษัทในเครืออย่าง Anemoy ปัจจุบัน CFG ตั้งเป้าไปที่ TVL ประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าสามารถสร้างรายได้ผ่านค่าธรรมเนียมมากกว่า 15 ล้านดอลลาร์ต่อปี โมเดลรายได้เหล่านี้อิงจากการเปิดใช้งานโหมดเรียกเก็บค่าธรรมเนียม (fee switch) และการจำหน่ายโซลูชันแบบ SaaS ผ่าน SDK
กลยุทธ์ ‘โทเคนตามความต้องการก่อน (demand-first tokenization)’ ของเซนทริฟิวจ์ถือว่าแตกต่างจากแนวทางทั่วไปที่เน้นการแปลงสินทรัพย์ก่อนหาอุปสงค์ โดยเลือกที่จะออกแบบกองทุนตามความต้องการของสถาบันล่วงหน้า ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อถือและประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีความร่วมมือกับบริษัทชื่อดังอย่าง Janus Henderson และ Apollo ซึ่งช่วยให้โครงการของ CFG เชื่อมต่อกับเครือข่าย DeFi ได้อย่างราบรื่น และสร้างผลกระทบในเครือข่าย RWA ได้สูงขึ้น
แม้ว่าราคาของ CFG ยังถูกมองว่าต่ำกว่าพื้นฐานอยู่มาก แต่แผนการที่จะถูกลิสต์ในกระดานซื้อขายเพิ่มเติมอย่าง ไบแนนซ์ และอัพบิท หลังจากอยู่แล้วใน Bybit และ Coinbase ก็กำลัง ‘ลดข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง’ อย่างรวดเร็ว อเลอา รีเสิร์ชมองว่า CFG กำลังก้าวสู่ ‘ระยะขยายช่องทางจัดจำหน่าย’ และมีความพร้อมเต็มที่ในการเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องระดับ ‘บลูชิป’ ทั้งในแง่ความสามารถในการใช้เป็นหลักประกัน การทำธุรกรรมใน DEX และการผสานกับระบบ DeFi อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม CFG ยังคงมีข้อจำกัดในแง่ฐานผู้ถือโทเคนที่ยังไม่เปลี่ยนไปใช้ On-chain อย่างเต็มรูปแบบ โดยกระบวนการเปลี่ยนไปสู่โทเคนมาตรฐาน ERC-20 ของอีเธอเรียม(ETH) อยู่ที่ราว 52% ส่งผลให้การเพิ่มอุปทานยังถูกจำกัด และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ เซนทริฟิวจ์ยังมีแผนกลยุทธ์แบบมัลติเชน โดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Plume, Arbitrum และ Base พร้อมขยายสินทรัพย์ที่นำมาโทเคนไลซ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(T-Bill), พันธบัตรระดับสูง (AAA CLO), และหนี้ส่วนบุคคลที่ออกโดยกองทุนส่วนตัว กลยุทธ์นี้ช่วยให้โครงการสามารถรองรับทั้งรายได้จากสินทรัพย์จริงและใช้ประโยชน์จากระบบ DeFi พื้นฐานได้ควบคู่กัน
CFG ได้กลายเป็นหนึ่งในโครงการ RWA แบบฟูลสแตกที่น่าจับตามองที่สุดในช่วงที่ตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับ ‘ความโปร่งใส ผลตอบแทน และสภาพคล่อง’ ของโทเคนจากสินทรัพย์จริง ปัจจัยเช่น คุณสมบัติด้านหลักประกัน ระบบชำระเงินอัตโนมัติ และโครงสร้างกองทุนแบบใช้ข้อมูล KYC ช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้งานในระบบการเงินแบบดั้งเดิม และเสริมตำแหน่ง CFG ให้เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด RWA
แม้ว่าโครงการจะเริ่มสร้างรายได้ และมีโอกาสการขยายตัวในหลายด้าน แต่ CFG ยังซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าค่า FDV อย่างมีนัยสำคัญ ในบริบทที่ตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดและการเติบโตจากอุปสงค์ที่แท้จริง CFG จึงอาจไม่ใช่แค่โอกาสในการ ‘ไล่ตาม’ ความสำเร็จ แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการ ‘นำตลาด’ อย่างแท้จริง ‘ความคิดเห็น’ ความสามารถรอบด้านของ CFG ทำให้มันครองสถานะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์คริปโตที่น่าจับตามองมากที่สุดในวงการ RWA ณ ตอนนี้
ความคิดเห็น 0