การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทจัดการสินทรัพย์ *สไตรฟ์* ซึ่งนำโดยผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันอย่าง *วิเวก รามาสวามี* กับ *เซมเลอร์ ไซแอนทิฟิก* บริษัทที่หันมาถือ *บิตคอยน์(BTC)* เป็นสินทรัพย์ในงบดุล กำลังเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมาย หลังนักลงทุนรายหนึ่งยื่นฟ้องในศาลสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) ตามรายงานจากศาลแขวงทางตอนเหนือของรัฐอิลลินอยส์ *เทรี ทราน* ผู้ถือหุ้นของเซมเลอร์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อต้านบริษัทและคณะกรรมการบริหาร ฐานละเมิดกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายหลักทรัพย์ มาตรา 14(a) และ 20(a) โดยอ้างว่าแผนควบรวมกิจการไม่มีการเปิดเผย ‘อัตราแลกหุ้น’ และ ‘แนวโน้มทางการเงินของบริษัทใหม่’ อย่างเพียงพอ อีกทั้ง ‘เอกสารข้อมูลสำหรับผู้ถือหุ้น’ ก็แฝงด้วย *ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่ครบถ้วน* ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุน
สัญญาควบรวมดังกล่าวประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2024 โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นของเซมเลอร์จะได้รับหุ้นสามัญแบบคลาส A ของสไตรฟ์จำนวน 21.05 หุ้นต่อ 1 หุ้นเดิมของตน ซึ่งเป็นรูปแบบการควบรวมแบบ ‘แลกเปลี่ยนหุ้น’ ไม่ใช่ซื้อด้วยเงินสด หากดีลสำเร็จ สไตรฟ์จะกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีโครงสร้างทางการเงินซึ่งขับเคลื่อนด้วย *บิตคอยน์* อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ สไตรฟ์เพิ่งควบรวมกับ *แอสเซท เอนทิตี้ส์* เพื่อนำกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้น *บิตคอยน์* เป็นหลักมาใช้ และแผนล่าสุดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนสินทรัพย์ดำเนินการไปสู่ *คริปโตเคอร์เรนซี* และสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวม
ความคิดเห็น: คดีนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาทธรรมดาด้านการควบรวมธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายทาง *ธรรมาภิบาล (governance)* และ *ความโปร่งใสของข้อมูล* ในกรณีที่บริษัทนำ *คริปโตเคอร์เรนซี* เข้ามามีบทบาทในโครงสร้างการเงิน โดยเฉพาะเมื่อ *บิตคอยน์* เริ่มกลายเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารสินทรัพย์ของภาคเอกชน ความสมดุลระหว่าง ‘กลยุทธ์เชิงนวัตกรรม’ กับ ‘สิทธิของผู้ถือหุ้น’ จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ
ความคิดเห็น 0