บริษัทด้านการลงทุนและวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก เม็กซีเวนเจอร์ส(MEXC Ventures) เปิดเผยรายงานล่าสุดโดยชี้ว่า *สเตเบิลคอยน์* กำลังพัฒนาไปไกลกว่าการเป็นเพียงการทดลองทางดิจิทัล โดยในตอนนี้เริ่มมีบทบาทในการผสานเข้ากับระบบการเงินทั่วโลกอย่างชัดเจน รายงานระบุว่า สเตเบิลคอยน์กำลังถูกนำไปใช้ในวงกว้าง ตั้งแต่การโอนเงินข้ามประเทศ การรักษามูลค่าเงินในสภาพแวดล้อมที่เงินเฟ้อ ไปจนถึงการชำระเงินเชิงพาณิชย์ ด้วยคุณสมบัติที่โอนเงินได้อย่างรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ และสามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สเตเบิลคอยน์กลายเป็นทางเลือกชั้นเยี่ยมในการเติมเต็มข้อจำกัดของระบบการเงินแบบเดิม
รายงานเริ่มจากการอธิบายความหมายของสเตเบิลคอยน์ โดยเน้นถึงจุดเด่นด้าน *ความมีเสถียรภาพของราคา* อันเนื่องมาจากการตรึงมูลค่ากับทรัพย์สินที่มีความเชื่อมั่นสูง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ(USD), ยูโร(EUR), ทองคำ หรือสินทรัพย์จริง(Real World Assets: RWA) ความมั่นคงนี้ทำให้สเตเบิลคอยน์แตกต่างจากคริปโตประเภทอื่นอย่างบิตคอยน์(BTC) หรืออีเธอเรียม(ETH) และกลายเป็นเทคโนโลยีหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า “เงินสดดิจิทัล”
ความต้องการใช้งานสเตเบิลคอยน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสามารถเห็นได้ในหลายมิติ เช่น การใช้เวลาในการโอนเพียงไม่กี่วินาที และค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าการโอนเงินแบบดั้งเดิมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือสามารถใช้งานได้แม้ในพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานทางธนาคารยังไม่พร้อม หรือในช่วงเวลาที่ธนาคารปิดให้บริการ เช่น กลางดึกหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงแค่มีสมาร์ทโฟน ผู้ใช้งานในประเทศที่กำลังพัฒนาก็สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคาร
ในแง่ตลาด สเตเบิลคอยน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่ เทเธอร์(USDT) และ USDC ของบริษัทเซอร์เคิล โดย *เม็กซีเวนเจอร์ส* ระบุว่า USDT มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ทำหน้าที่เสมือน “เครื่องมือเก็บมูลค่าดิจิทัล” สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ USDC อาศัยความโปร่งใสจากกรอบการกำกับดูแลของสหรัฐ ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มสถาบันการเงิน ฟินเทค และตลาดซื้อขายภายใต้การควบคุม มูลค่าการใช้งานรายวันของสเตเบิลคอยน์ทั้งสองชนิดนี้ถึงขั้นแซงหน้าระบบจ่ายเงินของบางประเทศแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการนำสเตเบิลคอยน์ไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น ฟรีแลนซ์ในปากีสถาน อินเดีย และฟิลิปปินส์ใช้สเตเบิลคอยน์เพื่อรับค่าจ้างอย่างรวดเร็ว ส่วนในประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง เช่น อาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ก็มีการใช้งานในฐานะสถานที่เก็บรักษามูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในภาคเอกชน ทั้งในด้านอีคอมเมิร์ซและการชำระค่าบริการต่างประเทศ ก็เริ่มมีการยอมรับอย่างต่อเนื่อง ภายในตลาดซื้อขายคริปโตเอง สเตเบิลคอยน์ยังถูกใช้เป็นสกุลอ้างอิงอย่างแพร่หลาย
ขณะเดียวกัน โครงสร้างของระบบนิเวศสเตเบิลคอยน์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยธนาคารดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่เวทีด้วยการออกดอลลาร์ดิจิทัลด้วยตัวเอง รวมถึงการพัฒนาโทเคนที่มีสินทรัพย์จริงหนุนหลังอย่างทองคำหรือพันธบัตรรัฐบาลก็ได้รับการตอบรับดี นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เพย์พอล(PYUSD) ก็เข้ามาออกสเตเบิลคอยน์ของตนเอง ขณะที่ธนาคารกลางของหลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาเงินดิจิทัลภายใต้การควบคุมของรัฐ(CBDC) ซึ่ง *เม็กซีเวนเจอร์ส* เชื่อว่า แม้ CBDC อาจไม่สามารถแทนที่สเตเบิลคอยน์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็จะกลายเป็นคู่แข่งหลักที่มีอิทธิพลสูงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สเตเบิลคอยน์ยังมีความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้าม เช่น ความล้มเหลวในการบริหารทุนสำรองของผู้ออกเหรียญที่อาจทำให้การตรึงค่า 1 ดอลลาร์ล้มเหลว ความไม่โปร่งใส รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการถูกตรวจสอบหรือการอายัดสินทรัพย์โดยผู้ออกเหรียญ ในบริบทที่กฎระเบียบทั่วโลกยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ความไม่แน่นอนทางนโยบายจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
ท้ายที่สุด *เม็กซีเวนเจอร์ส* สรุปว่า สเตเบิลคอยน์คือ “สกุลเงินดิจิทัลที่ใช้งานได้จริง” ซึ่งผสาน *ความไว้ใจของเงินตราหลัก* เข้ากับ *ความรวดเร็วและเปิดกว้างของเทคโนโลยีบล็อกเชน* อย่างลงตัว โดยมองว่าการเคลื่อนไหวของตลาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาชี้วัดว่าใครจะอยู่รอดและใครจะหลุดจากเวทีการแข่งขันในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล
ความคิดเห็น 0