ตลาดสเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็น 'หัวใจ' ของวงการคริปโตเคอร์เรนซีในปี 2025 โดยสัญญาณชัดเจนคือปริมาณสเตเบิลคอยน์ทั้งหมดที่อยู่ในระบบได้ทะลุระดับ ‘3 แสนล้านดอลลาร์’ เป็นครั้งแรก เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนล้านดอลลาร์จากปีก่อน แสดงถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดและการมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะ ‘เทเธอร์(USDT)’ ที่ยังคงยึดครองตำแหน่งผู้นำด้วยปริมาณการหมุนเวียนกว่า 1.835 แสนล้านดอลลาร์
ข้อมูลจาก Kaiko Research เมื่อวันที่ 24 แสดงให้เห็นว่า 4 ใน 10 เหรียญคริปโตที่มีปริมาณการหมุนเวียนมากที่สุดคือ ‘สเตเบิลคอยน์’ ซึ่งตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของเหรียญประเภทนี้ในฐานะ ‘หลักทรัพย์แห่งความเชื่อมั่น’ แห่งวงการสินทรัพย์ดิจิทัล
ความเร่งตัวของตลาดนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าร่วมของผู้เล่นใหญ่จาก ‘โลกการเงินแบบดั้งเดิม’ ไม่ว่าจะเป็น เวสเทิร์น ยูเนียน, ไฟเซิร์ฟ หรือแม้แต่ สไตรป์ ต่างร่วมลงสนามพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านสเตเบิลคอยน์ นอกจากนี้แม้จะมีเหรียญใหม่อย่าง PYUSD ของเพย์พาล หรือ USD1 ของ World Liberty Financial เข้ามา แต่ ‘USDT’ และ ‘USD คอยน์(USDC)’ ยังคงรักษากำลังการครองตลาดอย่างเหนียวแน่น ‘USDC’ เพียงเหรียญเดียวก็ขยายการหมุนเวียนจาก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ เดือนธันวาคม 2024 มาเป็น 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 66%
ในแง่ของ ‘ปริมาณการซื้อขาย’ USDT กลายเป็นจุดศูนย์กลางของสภาพคล่องในตลาด โดยช่วงพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนมกราคมและวิกฤตตลาดเดือนตุลาคม ทำให้ปริมาณซื้อขายรายวันของ USDT พุ่งทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าบิตคอยน์(BTC) อย่างมีนัยสำคัญ ส่วน USDC เคยแตะปริมาณซื้อขายสูงสุดถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้าการเคลื่อนไหวของ อีเธอเรียม(ETH) ได้ในบางช่วง
ความคิดเห็น: ‘ความลึกของตลาด’ ที่ USDC และ USDT รักษาไว้ในช่วงราคาใกล้เคียง 1 ดอลลาร์ ด้วยปริมาณคำสั่งซื้อราว 2-5 ร้อยล้านดอลลาร์ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนมองว่าสเตเบิลคอยน์คือ 'ทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงสุด' ในระบบคริปโต
ความน่าเชื่อถือเพิ่มเติมยังมาจากผู้ให้บริการอย่าง 'เซอร์เคิล(Circle)' ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐฯ และใช้ BNY เมลลอนเป็นผู้ดูแลสินทรัพย์สำรอง กลายเป็นความมั่นใจที่ทำให้สเตเบิลคอยน์ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น ตุรกีและบราซิล ที่นักลงทุนหันมาใช้สเตเบิลคอยน์เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงิน แทนที่จะถือเงินยูโรหรือปอนด์
อย่างไรก็ตาม สเตเบิลคอยน์ยังเผชิญ ‘ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง’ จากรูปแบบธุรกิจของผู้ให้บริการเหรียญที่ใช้เงินสำรองไปถือผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทน อย่างเทเธอร์ ที่คาดว่าจะมีรายได้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้จากดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้น เป็นเหตุให้เกิดข้อกังขาเรื่อง ‘ความมั่นคงของค่าเงิน’ ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย
ความคิดเห็น: การที่สเตเบิลคอยน์มีลักษณะคล้าย 'ตราสารหนี้ที่สร้างผลตอบแทนคงที่' ยังสร้างแรงกดดันต่อกรอบกฎหมายและรูปแบบบัญชีปัจจุบัน ที่อาจต้องมีการปรับตัวตาม
กรณีศึกษาสำคัญคือกองทุนตลาดเงินแบบโทเคน ‘BUIDL’ ของแบล็คร็อก(BlackRock) ซึ่งถูกนำไปเชื่อมต่อกับ 6 บล็อกเชน รวมถึงอีเธอเรียมและโซลานา(SOL) โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และให้ผลตอบแทนจากการถือสินทรัพย์ในขณะที่ยังคงมูลค่าเหรียญไว้ที่ระดับ 1 ดอลลาร์อย่างเหนียวแน่น ซึ่ง Kaiko มองว่าทำให้ BUIDL เป็น ‘สินทรัพย์รายได้คงที่ที่ถูกโทเคนไนซ์’ ซึ่งแตกต่างจากสเตเบิลคอยน์แบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง
สุดท้าย สเตเบิลคอยน์อาจได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘รากฐาน’ ของโลกคริปโตไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีการใช้งานหรือสถานภาพทางกฎหมายจะหยุดนิ่ง มาตรการกำกับเช่นกฎหมาย MiCA จากยุโรป หรือกฎหมายสเตเบิลคอยน์ของสหรัฐฯ ต่างพยายามจัดระเบียบใหม่ให้กับเหรียญกลุ่มนี้ ในขณะที่การเชื่อมโยงระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับคริปโตผ่านผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ ชี้ให้เห็นว่าสเตเบิลคอยน์กำลังเดินหน้าเข้าสู่ ‘จุดเปลี่ยน’ ซึ่งความคาดหวังต่อ “สินทรัพย์ที่ตรึงมูลค่า” จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ความคิดเห็น 0