อุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์(BTC)กำลังเผชิญแรงกดดันรอบใหม่ เมื่อความสามารถในการแข่งขันของเครือข่ายเพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้ของนักขุดกลับลดลง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ภายใต้สภาวะที่ท้าทาย
จากรายงานล่าสุดของบริษัทข้อมูลคริปโต The Miner Mag เมื่อวันที่ 24 เผยว่า อัตราแฮช(ค่าความสามารถในการประมวลผล)ของเครือข่ายบิตคอยน์ ในเดือนตุลาคมแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.16 ZH/s ในขณะที่ราคาบิตคอยน์ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนกลับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 81,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.9 ล้านบาท ความผันผวนนี้กลายเป็น ‘ภาระซ้อน’ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อนักขุด
ดัชนี ‘แฮชไพรซ์(Hashprice)’ ซึ่งวัดผลกำไรจากการขุดต่อหน่วยพลังประมวลผล ก็ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 35 ดอลลาร์ หรือประมาณ 47,250 บาท โดยระดับนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทขุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ที่ราว 45 ดอลลาร์ต่อ PH/s คิดเป็นประมาณ 60,750 บาท รายงานระบุว่า นักขุดหลายรายกำลังเข้าสู่จุดที่ ‘ขาดทุน’ และเสี่ยงต่อการอยู่รอดในอนาคต
นอกจากนี้ ช่วงเวลาคืนทุนของอุปกรณ์ขุดก็เพิ่มขึ้นแตะระดับมากกว่า 1,200 วัน ส่งผลให้ความคุ้มค่าในการลงทุนลดลงอย่างมาก ผนวกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในภาพรวมของเศรษฐกิจ ยังทำให้ต้นทุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มสูง ซึ่งเป็นปัจจัยลบอีกประการหนึ่งที่กระทบต่ออุตสาหกรรมขุดโดยตรง
ในสภาพตลาดที่ราคาบิตคอยน์ไม่ฟื้นตัว ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันของเครือข่ายยังพุ่งสูง ช่องทางการทำกำไรระยะสั้นดูจะไม่ง่าย ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งทำคือ การยกระดับ *ประสิทธิภาพด้านพลังงาน* และหันไปใช้กลยุทธ์ลดต้นทุน เช่น การย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่มีค่าไฟฟ้าราคาถูก
*ความคิดเห็น*: อุตสาหกรรมการขุดกำลังเข้าสู่ช่วงคัดกรองรอบใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับโครงสร้าง และอาจส่งผลให้บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งต้องถอนตัว ในขณะที่บริษัทใหญ่จะยิ่งเข้มแข็งขึ้นจากการปรับตัวและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
ในอนาคต ผู้ขุดอาจต้องพิจารณาโมเดลรายได้ใหม่ที่ไม่พึ่งพาแค่การขุดคริปโต เช่น การให้บริการศูนย์ข้อมูลหรือการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว
ความคิดเห็น 0