ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
ราคาของริปเปิล(XRP) ร่วงลง 9% ในวันที่ 28 โดยลดลงมาแตะระดับ 2.05 ดอลลาร์ หากไม่สามารถรักษาระดับแนวรับจิตวิทยาที่ 2.00 ดอลลาร์ไว้ได้ อาจเกิดการปรับฐานเพิ่มเติมลงไปที่ 1.50 ดอลลาร์
การลดลงครั้งนี้เป็นการต่อเนื่องจากแนวโน้มขาลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักมาจากการที่แนวรับ 2.20 ดอลลาร์แตก นอกจากนี้ มูลค่าตลาดรวมของคริปโตทั่วโลกก็หดตัวลง 6.6% เหลือประมาณ 2.66 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของ XRP ด้วยเช่นกัน
ในตลาดตราสารอนุพันธ์ มีการชำระบัญชีสัญญาฟิวเจอร์สของ XRP เป็นจำนวนมาก โดยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการชำระบัญชีมูลค่าประมาณ 25.5 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ 22.2 ล้านดอลลาร์มาจากสถานะซื้อ (long position) ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันการขายที่รุนแรงขึ้น หลังจากนักลงทุนที่เดิมพันการปรับขึ้นของราคาถูกบังคับปิดสถานะ
อีกปัจจัยสำคัญที่สร้างความไม่แน่นอนในตลาด XRP คือคดีของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) กับบริษัทริปเปิล แม้ว่าชุมชนริปเปิลจะคาดหวังว่า SEC อาจถอนคดีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 แต่ล่าสุด SEC ได้ยื่นอุทธรณ์เพิ่มเติม แม้ว่าศาลจะตัดสินเมื่อเดือนสิงหาคม 2024 ว่าการขาย XRP ให้กับนักลงทุนทั่วไปไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ก็ตาม
ขณะที่ SEC ได้ยุติข้อพิพาทกับบริษัทคริปโตรายอื่น เช่น คอยน์เบส, คอนเซนซิส และยูนิสวอป แต่คดีกับริปเปิลยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งสร้างความกังวลต่อนักลงทุน และเพิ่มความผันผวนให้กับราคาของ XRP
ในส่วนของตลาดตราสารอนุพันธ์ ตัวเลขการชำระบัญชีสถานะซื้อในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 22.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้อารมณ์ตลาดในสัญญาฟิวเจอร์สของ XRP เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว นี่เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่เกิดการชำระบัญชีสูงถึง 74.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ราคาดิ่งจาก 2.78 ดอลลาร์เหลือ 1.76 ดอลลาร์ หรือร่วงลงถึง 36%
ทางเทคนิค ระดับแนวรับที่ 2.00 ดอลลาร์ถือเป็นจุดสำคัญ หากรับไม่อยู่ ราคาของ XRP อาจร่วงไปที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ 1.76 ดอลลาร์ หรือแตะเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันที่ระดับ 1.50 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน หากสามารถฟื้นตัวได้ XRP จะต้องกลับมายืนเหนือระดับ 2.20 ดอลลาร์เพื่อส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) ของ XRP ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 29 ซึ่งเข้าสู่โซน ‘ขายมากเกินไป’ (oversold) ทำให้มีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มขาลงของตลาดโดยรวม และความไม่แน่นอนด้านกฎหมายที่ยังคงอยู่ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจ
ความคิดเห็น 0