อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกระดานเทรดคริปโต BitMEX แสดงความเห็นในบทความบน Substack เมื่อวันที่ 8 ว่า ‘โครงการบริหารสภาพคล่องสำรอง’ ใหม่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็คือ *QE ในร่างใหม่* โดยเขาระบุว่า การที่ Fed เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นแล้วนำเงินหมุนเวียนกลับผ่านตลาดเงินนั้น เสมือนเป็นการสนับสนุนการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างแอบแฝง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าใช้ *นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing)* ซึ่งเป็นคำที่มีภาพลักษณ์ด้านลบทางการเมือง
“โครงการนี้คือการที่ Fed รับจ่ายเช็คแทนรัฐบาลอย่างแนบเนียน และเป็นกระบวนการที่ ‘สร้างเงินเฟ้อ’ ทั้งในเชิงการเงินและมูลค่าของสินค้าและบริการจริง” เฮย์สระบุ พร้อมอธิบายว่านโยบายแบบนี้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องของเงินตรา ซึ่งในมุมมองของเขา เป็นผลดีต่อ ‘สินทรัพย์หายาก’ เช่น บิตคอยน์(BTC), ทองคำ และเงิน
“ผมรัก QE เพราะมันหมายถึงการพิมพ์เงิน และโชคดีที่ผมถือสินทรัพย์อย่างทองคำ หุ้นเหมืองทอง/เงิน และบิตคอยน์ ซึ่งมักเติบโตเร็วกว่าการสร้างเงินเฟียต” เฮย์สกล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าการพิมพ์เงินมีผลร้ายต่อผู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ เพราะทำให้ *อำนาจซื้อ* ลดลง ค่าแรงตามราคาสินค้าไม่ทัน และกระจายความมั่งคั่งไปยังผู้ถือสินทรัพย์
ในมุมมองของเขา “การลดค่าเงินโดยเจตนาคือการทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ผู้ผลิต และตัดขาดความเกี่ยวโยงระหว่างพลังงานที่ใช้ในการผลิตกับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ”
ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ได้ประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พร้อมทั้งเริ่ม *เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น* ภายใต้โครงการ RMP เพื่อรักษาระดับเงินสำรองในระบบ โดยประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์(Jerome Powell) ย้ำว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์ด้านเทคนิค และไม่เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน
ในช่วงแรก Fed จะซื้อพันธบัตรราว 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 1 เดือน และอาจดำเนินต่อเนื่องอีกหลายเดือนเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องที่มักเกิดในช่วงเสียภาษี
ที่น่าสนใจคือ แม้จะมีการลดดอกเบี้ยและ Fed เริ่มซื้อพันธบัตร แต่ *ตลาดยังไม่คาดหวังการฟื้นตัวของราคา Bitcoin แบบต่อเนื่อง* ในระยะสั้น โดยข้อมูลจาก Yahoo Finance ระบุว่า ราคาบิตคอยน์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมอยู่ที่ราว 92,695 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ที่ประมาณ 87,300 ดอลลาร์ในเวลาทำข่าว
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในตลาด Polymarket ชี้ว่า ผู้ค้าให้ความเป็นไปได้ราว 77% ว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมเดือนมกราคม ขณะที่โอกาสในการลดเพิ่มอีก 0.25% อยู่เพียงประมาณ 21% และมองว่าการเคลื่อนไหวที่แรงกว่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ วาระของเจอโรม พาวเวลล์จะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2026 โดย *ทรัมป์* กำลัง *เฟ้นหาผู้สืบตำแหน่งหัวหน้า Fed คนต่อไป* ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า เควิน ฮาสเซตต์(Kevin Hassett) ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ถูกมองว่าเป็นเต็งหนึ่ง โดยทรัมป์เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้ Fed ดำเนินนโยบายลดดอกเบี้ยเชิงรุกในสมัยหน้า
ความคิดเห็น 0