ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทริปเปิล(Ripple) และโทเคนหลักอย่างริปเปิล(XRP) โดยได้รับชัยชนะในคดีความกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ซึ่งยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2020 พร้อมกับการเปิดตัว ‘XRP สปอต ETF’ ครั้งแรกในตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้ XRP ถูกรับรองในฐานะสินทรัพย์กระแสหลักอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาของ XRP กลับเผชิญแรงกดดันจากการเทขายโดยนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้ราคาตกลงอย่างรุนแรง
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แบรด การ์ลิงเฮาส์(Brad Garlinghouse) ซีอีโอของริปเปิลประกาศว่า SEC ได้ถอนการอุทธรณ์คดีเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้การฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 4 ปีสิ้นสุดลงในช่วงฤดูร้อน โดยริปเปิลตกลงจ่ายค่าปรับเพียง 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,796 ล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าข้อเรียกร้องเดิมของ SEC ที่เสนอให้จ่ายมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นเพียง 7% ของยอดดังกล่าว *คำ*ว่านี่คือ ‘ชัยชนะที่เด็ดขาด’ สำหรับวงการคริปโตไม่ใช่เรื่องเกินจริง *ความคิดเห็น*: ผู้เชี่ยวชาญมองว่าคดีนี้กลายเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวทางกำกับดูแลใหม่ของสหรัฐฯ หลังจากแกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งอาจนำไปสู่แนวโน้มที่เอื้อต่อคริปโตมากขึ้นในอนาคต
ผลจากข้อพิพาทที่จบลง ริปเปิลจึงเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น โดยในเดือนเมษายนบริษัทได้เข้าซื้อกิจการ Hidden Road ผู้ให้บริการไพรมารีโบรกเกอร์ด้วยมูลค่าราว 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) ก่อนรีแบรนด์เป็น ‘Ripple Prime’ เพื่อให้บริการนักลงทุนสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกันนี้ยังมีดีลขนาดใหญ่อีกหลายรายการ เช่น การเข้าซื้อกิจการ Rail มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ และการเข้าซื้อ GTreasury มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ แม้ข้อเสนอเข้าซื้อ Circle ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ USDC จะถูกปฏิเสธในท้ายที่สุด
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ริปเปิลยังได้รับการอนุมัติเบื้องต้นจากสำนักงานควบคุมสกุลเงินสหรัฐ(OCC) ในการจัดตั้ง ‘Ripple National Trust Bank’ สร้างความคาดหวังในหมู่ผู้ถือ XRP ว่าธนาคารของริปเปิลอาจได้รับการสนับสนุนจากแบงก์ขนาดใหญ่อย่าง Bank of America
อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของปีคือ การเปิดตัว *XRP สปอต ETF* ครั้งแรกในสหรัฐฯ โดยบริษัท Canyon Capital ซึ่งสร้างความต้องการสูงตั้งแต่วันแรก จากนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bitwise, Grayscale, Franklin Templeton และ 21Shares ต่างทยอยเปิดตัว XRP ETF ของตัวเอง ภายใต้ข้อมูลจาก SoSoValue ระบุว่า จนถึงปัจจุบัน มูลค่าการไหลเข้า(net inflow) ของ ETF ทั้งหมดรวมกันทะลุ 1.14 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.63 หมื่นล้านบาท) *คำ*ว่า XRP ได้เข้าสู่กระแสหลักของตลาดการเงินสหรัฐฯ อย่างแท้จริง จึงไม่เกินความเป็นจริง
ด้วยความพยายามสร้างสภาพแวดล้อมคริปโตที่มีเสถียรภาพ ริปเปิลยังเดินหน้าพัฒนา *RLUSD* สเตเบิลคอยน์ที่อิงดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 โดยหลังเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา RLUSD ได้รับความร่วมมือจากธนาคาร BNY Mellon ในการเป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน พร้อมกับได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในดูไบและอาบูดาบี จนถึงขณะนี้ RLUSD มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.86 หมื่นล้านบาท) อยู่อันดับที่ 12 ของกลุ่มสเตเบิลคอยน์ และอันดับที่ 77 ของตลาดคริปโตรวมทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หลังจากราคา XRP พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3.65 ดอลลาร์ (ประมาณ 5,243 บาท) เมื่อเดือนกรกฎาคม ราคากลับลดลงต่อเนื่องเป็นระยะ โดยล่าสุดกลับมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.87 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,686 บาท) นับว่าร่วงลงถึง 48% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดช่วงฤดูร้อน *คำ*ว่า ‘แรงขายจากวาฬ’ คือจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงปลายปี โดยข้อมูลชี้ว่าภายในเดือนเดียวมี XRP กว่า 1.4 พันล้านเหรียญถูกเทขาย ขณะที่ช่วงคริสต์มาสเพียงสัปดาห์เดียว มียอดขายเพิ่มอีก 510 ล้านเหรียญ และ 40 ล้านเหรียญในวันหยุด ซึ่งทำให้นักลงทุนรายย่อยเกิดความกังวลว่าเหล่านักลงทุนรายใหญ่กำลังดำเนินการ ‘ถอนตัวเชิงกลยุทธ์’ ออกจากตลาด
*ความคิดเห็น*: แม้ XRP จะเผชิญแรงเหวี่ยงในระยะสั้น แต่ปี 2025 ก็ได้วางรากฐานที่มั่นคงในด้านการยอมรับจากภาคสถาบัน และการเข้าสู่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากผลิตภัณฑ์ ETF ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานจากสเตเบิลคอยน์ RLUSD หากสามารถรักษาโมเมนตัมเหล่านี้ไว้ได้ การเป็นหนึ่งในผู้นำระบบการเงินใหม่ของโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ความคิดเห็น 0