สเตเบิลคอยน์ครอง 90% ของธุรกรรมคริปโตในบราซิล ทะลุ 900,000 ล้านดอลลาร์

บราซิลกำลังเห็นการเติบโตของ ‘สเตเบิลคอยน์’ อย่างมหาศาล โดยล่าสุดมีรายงานว่า คิดเป็น 90% ของการทำธุรกรรมคริปโตทั้งหมดในประเทศ

กาเบรียล กาลิโปโล ประธานธนาคารกลางบราซิล เปิดเผยระหว่างการประชุมของธนาคารกลางเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ(BIS) ที่เม็กซิโกซิตี้ว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในบราซิลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ‘90%’ ของธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมาจาก ‘สเตเบิลคอยน์’ เป็นหลัก

กาลิโปโลยังระบุว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วของสเตเบิลคอยน์ก่อให้เกิดความท้าทายสำคัญในด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล โดยเฉพาะประเด็นด้าน ‘ภาษี’ และ ‘การป้องกันการฟอกเงิน’ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่หน่วยงานต้องเร่งจัดการ

นอกจากนั้น กาลิโปโลยังกล่าวถึง ‘ดรีกซ์(Drex)’ ซึ่งเป็นโครงการเงินดิจิทัลที่บราซิลกำลังพัฒนา โดยย้ำว่า ดรีกซ์ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง(CBDC) แต่เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้สินทรัพย์ตราสารหนี้เป็นหลัก เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ เขาอธิบายว่า ดรีกซ์จะนำ ‘บล็อกเชน’ มาใช้สำหรับการชำระเงินระหว่างธนาคาร และจะรองรับการฝากเงินแบบโทเคนในภาคค้าปลีก

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ธนาคารกลางบราซิลเคยประกาศว่ากำลังทดสอบการเชื่อมต่อระหว่างดรีกซ์กับการเงินแบบกระจายศูนย์(DeFi) อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการหารือเรื่องเปลี่ยนระบบการชำระเงินแบบ ‘STR’ ไปสู่ ‘STR 2.0’ ที่นำดรีกซ์มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

ขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตของบราซิลก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของลาตินอเมริกา รองจากอาร์เจนตินา ตามรายงานของ ‘เชนแอนาลิซิส(Chainalysis)’ การไหลเวียนของคริปโตในบราซิลระหว่างเดือนกรกฎาคม 2023 - มิถุนายน 2024 สูงถึง ‘900,000 ล้านดอลลาร์’ และแม้ว่าก่อนหน้านี้ สัดส่วนของสเตเบิลคอยน์ในธุรกรรมคริปโตของบราซิลจะอยู่ที่ 59.8% แต่ปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

การเติบโตของสเตเบิลคอยน์ยังได้รับแรงหนุนจาก ‘เมอร์คาโด ลิเบร’ บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของบราซิลที่เปิดตัว ‘เมลิ ดอลลาร์(Meli Dollar)’ ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

นอกจากบราซิล สเตเบิลคอยน์ยังขยายตัวอย่างรวดเร็วในระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต CEX.io เปิดเผยว่าจำนวนธุรกรรมที่ใช้สเตเบิลคอยน์ในปีที่แล้วสูงถึง ‘27.6 ล้านล้านดอลลาร์’ ซึ่งมากกว่าปริมาณธุรกรรมรวมของ ‘วีซ่า(Visa)’ และ ‘มาสเตอร์การ์ด(Mastercard)’ รวมกันอีกด้วย