เมื่อเร็วๆ นี้ ‘คอยน์เบส(Coinbase)’ ได้เปิดเผยว่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัท(AUM) ได้แตะระดับ ‘420,000 ล้านดอลลาร์’ หรือประมาณ 609 ล้านล้านวอน ซึ่งทำให้คอยน์เบสมีสินทรัพย์มากกว่าธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 21 ในสหรัฐฯ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดคริปโต
เมื่อวันที่ 7 (เวลาท้องถิ่น) ไบรอัน อาร์มสตรอง(Brian Armstrong) ซีอีโอของคอยน์เบส เปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดีย X (เดิมคือ Twitter) ว่า "หากมองว่าคอยน์เบสเป็นธนาคาร เราจะกลายเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 21 ของสหรัฐฯ" พร้อมเสริมว่า "หากพิจารณาในฐานะบริษัทหลักทรัพย์ เราจะอยู่ในอันดับที่ 8 ตามมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร"
ขนาดของสินทรัพย์ที่คอยน์เบสดูแลนั้นมากกว่าที่ ‘นิวยอร์ก คอมมิวนิตี้ แบงค์คอร์ป(NYCB)’ ถือครองถึงสามเท่า โดย NYCB มีสินทรัพย์ที่ ‘112,900 ล้านดอลลาร์’ (ประมาณ 163 ล้านล้านวอน) ทั้งนี้ NYCB เคยเข้าซื้อกิจการของซีเนเจอร์ แบงค์(Signature Bank) ซึ่งเป็นธนาคารที่เคยสนับสนุนคริปโต แต่กลับต้องขาดทุนกว่า 260 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.77 แสนล้านวอน) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ในขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน คอยน์เบสสามารถทำกำไรสุทธิได้ ‘273 ล้านดอลลาร์’ (ประมาณ 3.95 แสนล้านวอน) นับเป็นการกลับมาทำกำไรไตรมาสแรกตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021
อาร์มสตรองยังแสดงความเห็นว่า ‘ระบบการเงินแบบดั้งเดิม’ กำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวสู่โครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วย ‘คริปโต’ โดยเขาระบุว่า "ในระบบการเงินแห่งอนาคต ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ผ่านบัญชีเดียว" พร้อมชี้ให้เห็นว่า "สัดส่วนของคริปโตใน GDP ของโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงมองว่ามีอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการยอมรับคริปโตในวงกว้าง โดย ‘ชินตัน ทูราคิยา(Chintan Turakhia)’ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของคอยน์เบส ระบุว่า "หากต้องการดึงดูดผู้ใช้พันล้านคนรายต่อไป จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาสำคัญ เช่น ความซับซ้อนของกระบวนการสร้างกระเป๋าเงิน ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม และการซื้อโทเคนคริปโต"
การเติบโตอันรวดเร็วของคอยน์เบสกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาด โดยทำให้ ‘เส้นแบ่งระหว่างตลาดการเงินดั้งเดิมกับอุตสาหกรรมคริปโต’ เบลอขึ้นเรื่อยๆ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในอนาคตบริษัทคริปโตอาจมีบทบาทที่ทัดเทียมหรือแม้กระทั่งแข่งขันโดยตรงกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
ความคิดเห็น 0