อีเธอเรียม(ETH) ร่วงหนัก 46% ค่าธรรมเนียมแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี นักลงทุนใหญ่แห่ซื้อหวังราคาฟื้น

อีเธอเรียม(ETH) เผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากในไตรมาสแรกของปี 2025 โดยราคาดิ่งลงกว่า 46% ถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบหลายปี พร้อมกับการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของกิจกรรมบนเครือข่าย ทำให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนยังคงแสดงความเชื่อมั่นในแนวโน้มการฟื้นตัวระยะยาว

ตามข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน อินทูเดอะบล็อก (IntoTheBlock) รายได้ค่าธรรมเนียมรวมบนเครือข่ายอีเธอเรียมในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ประมาณ 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3,040 พันล้านวอน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 ปัจจัยที่มีอิทธิพลคือการเดินหน้าของโซลูชันเลเยอร์ 2(L2) และการอัปเกรด ‘เดนคุน (Dencun)’ ที่ช่วยลดต้นทุนธุรกรรม โดยเฉพาะเครือข่ายเลเยอร์ 2 ของคอยน์เบสในชื่อ ‘เบส(Base)’ ที่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่า 80 รายการต่อวินาที กลายเป็นทางเลือกสำคัญแทนเมนเน็ต

ขณะเดียวกัน ‘อัตราเบิร์น (burn rate)’ หรือความเร็วในการเผาเหรียญที่อิงกับค่าธรรมเนียมก็ชะลอตัวลง กิจกรรมที่ลดลงของแพลตฟอร์มอย่างยูนิสวอป, เมตามาสก์ และผู้ออกสเตเบิลคอยน์อย่างเทเธอร์ ส่งผลให้อีเธอเรียมสูญเสียกลไกดิฟเฟลชั่นบางส่วน จนเกิดความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อของอีเธอเรียมอาจสูงกว่า บิตคอยน์(BTC) นักวิเคราะห์ด้านดีไฟอย่าง ไมเคิล นาโด(Michael Nadeau) เตือนว่า “อัตราเงินเฟ้อของอีเธอเรียมอาจแซงหน้าบิตคอยน์ได้”

ความอ่อนแอของตลาดยังสะท้อนชัดเจนในอัตราส่วน ETH/BTC เมื่อต้นปี 2025 อีเธอเรียมมีราคาประมาณ 3,300 ดอลลาร์ แต่ร่วงลงเหลือเพียง 1,805 ดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนเมษายน ขณะที่บิตคอยน์ไต่ขึ้นแตะ 109,000 ดอลลาร์ และเพียงแค่ปรับฐานประมาณ 10% ส่งผลให้อัตราส่วน ETH/BTC ลดลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

ถึงแม้สถานการณ์ตลาดจะไม่สดใส แต่ ‘ปลาวาฬ’ บางรายยังคงฉวยโอกาสในการซื้อสะสมข้อมูลจากอินทูเดอะบล็อกระบุว่า เมื่อราคาของอีเธอเรียมดิ่งลงต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ นักลงทุนรายใหญ่ได้สะสมเหรียญเพิ่มอีกถึง 130,000 ETH นับเป็นการดำเนินกลยุทธ์ ‘ซื้อเมื่อราคาตก(Buy the dip)’ โดยสะท้อนความคาดหวังว่า ราคาจะกลับขึ้นไปทะลุ 5,000 ดอลลาร์ในอนาคต

ปัจจัยสำคัญที่อาจกระตุ้นการฟื้นตัวของราคาอีเธอเรียมคือการอัปเกรด ‘เพคตรา (Pectra)’ ที่มีกำหนดในเดือนพฤษภาคมนี้ การอัปเกรดดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครือข่ายและเพิ่มความสามารถในการรองรับปริมาณงาน ซึ่งอาจเป็น ‘คันเร่ง’ สำคัญต่อแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาวของอีเธอเรียม