รัฐบาลไทยไฟเขียวแก้กฎหมายคริปโต สกัดอาชญากรรมไซเบอร์-ควบคุมแพลตฟอร์ม P2P ต่างชาติ

รัฐบาลไทยเดินหน้าแก้ไขกฎหมายเพื่อจัดการกับอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ใช้ *คริปโตเคอร์เรนซี* เป็นเครื่องมือ โดยเมื่อวันที่ 8 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างการแก้ไขพระราชกำหนดเกี่ยวกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์แล้ว

ร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้มีการควบคุมบัญชี ‘ม้า’ ที่ใช้ในธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมจำกัดการเข้าถึงของแพลตฟอร์ม *P2P ต่างประเทศ* และเพิ่มบทลงโทษทั้งจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุดถึง 8,700 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.27 ล้านบาท โดยกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นอกจากนี้ หน่วยงานไทยยังบังคับให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ *CASP* ต้องมีระบบตรวจจับและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางออนไลน์ พร้อมให้อำนาจในการ ‘อายัดบัญชี’ เพื่อป้องกันการฟอกเงิน โดยเฉพาะจากแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการในไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต

ร่างกฎหมายใหม่ยังเพิ่มความรับผิดชอบไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หากไม่ดำเนินมาตรการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์เพียงพอและส่งผลให้ประชาชนได้รับความเสียหาย ก็อาจต้องรับผิดชอบร่วมกัน “ความคิดเห็น” การขยายความรับผิดชอบนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของก.ล.ต. ในการยกระดับความปลอดภัยด้านไซเบอร์อย่างครอบคลุม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลไทยได้เพิ่มข้อกำหนดให้ *ผู้ให้บริการ P2P ต่างประเทศ* ที่เสนอบริการแก่ผู้ใช้งานไทย ต้องถือเป็น ‘ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล’ และอยู่ภายใต้กฎหมายไทย ทั้งนี้ เพื่อสกัดการให้บริการแก่ชาวไทยในลักษณะไม่ได้รับอนุญาต

กลยุทธ์ใหม่นี้มุ่งควบคุมสภาพแวดล้อม P2P ในประเทศ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่อาจมาจากแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น การฟอกเงินและการฉ้อโกง และอาจส่งผลโดยตรงต่อสถานะทางกฎหมายและความสามารถในการดำเนินการของแพลตฟอร์มเหล่านี้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกำกับดูแลในไทยยังคงเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโตควบคู่ไปกับกฎระเบียบ โดยมีโครงการทดลองการชำระเงินด้วยคริปโตในจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต รวมถึงการหารือเรื่องการเปิดทางให้มี *กองทุน ETF สินทรัพย์ดิจิทัล* ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายาม ‘สร้างสมดุล’ ระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทางการเงินใหม่นี้ในรูปแบบที่ถูกกฎหมาย