สหรัฐฯ เร่งเครื่องคริปโตบูม แต่ศูนย์กลางนวัตกรรมเว็บ3 กำลังย้ายสู่เอเชียและแอฟริกา

ตอนนี้สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับกระแส ‘คริปโตบูม’ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อบ่งชี้ชัดเจนคือการอนุมัติ *กองทุน ETF* ด้านคริปโตที่เปิดประตูให้ ‘นักลงทุนสถาบัน’ เข้ามาในตลาดได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ ‘สภาพคล่อง’ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ศักยภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลก็ดูจะช่วยเร่งให้ *กฎระเบียบ* มีความชัดเจนเร็วยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ได้ยื่นเอกสารเกี่ยวกับ ‘บล็อกเชน’ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลกำลังให้ความสนใจเทคโนโลยีนี้ในระดับนโยบายอย่างจริงจัง

สำหรับธุรกิจคริปโตภายในประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้คือ ‘จุดเปลี่ยน’ ที่รอคอยกันมายาวนาน *สตาร์ตอัป* และ *โครงการคริปโต* ในสหรัฐฯ ต่างใช้เวลานานนับ 10 ปีในการพัฒนา ‘ระบบนิเวศ’ ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของกฎเกณฑ์ ตอนนี้พวกเขากำลังได้รับการยอมรับและโอกาสที่สมควรเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้สถาบันการเงินเข้ามาช้า แต่ก็ถือเป็นก้าวที่ใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม การโฟกัสเฉพาะ ‘ตลาดสหรัฐฯ’ มากเกินไปอาจทำให้พลาดมองเห็น ‘ภาพรวม’ ของอุตสาหกรรม เนื่องจากในปัจจุบัน ตลาดคริปโตที่มีการใช้งานจริงมากที่สุด กลับไม่ได้อยู่ที่วอลล์สตรีท แต่กระจายตัวอยู่ใน *ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่* ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และอเมริกาใต้ กลุ่มประเทศเหล่านี้ไม่ได้ซื้อคริปโตเพื่อเก็งกำไร แต่ใช้ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน เช่น การโอนเงิน, การเก็บมูลค่า, หรือช่องทางการชำระเงินของผู้ประกอบการขนาดเล็ก

ข้อมูลจาก *Chainalysis* รายงานว่า ใน *ดัชนีการยอมรับคริปโตระดับโลกปี 2024* ประเทศใน ‘Top 20’ ถึง 15 แห่งมาจากกลุ่มเศรษฐกิจเติบโตสูง เช่น อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และไนจีเรีย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสำหรับประเทศเหล่านี้ คริปโตไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ที่ถูกฝังแน่นลงในชีวิตจริง

การเติบโตนี้ยังส่งผลถึง ‘ระบบนักพัฒนา’ ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกจากสหรัฐฯ และยุโรป ไปสู่ภูมิภาคที่มีการใช้งานจริงมากขึ้น ตามรายงานของ *Electric Capital ในปี 2024* ปัจจุบัน 32% ของนักพัฒนาคริปโตที่ยัง ‘แอคทีฟ’ ทั่วโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย เพิ่มขึ้นจากเพียง 12% ในปี 2015 ขณะที่สัดส่วนของสหรัฐฯ กลับลดลงครึ่งหนึ่ง จาก 38% เหลือเพียง 19%

ปัจจุบัน ‘นักพัฒนาคริปโตหน้าใหม่’ ถึง 41% มาจากเอเชีย และพวกเขาไม่ใช่แค่ผู้ทดลองโค้ดในเวลาว่าง แต่คือทีมงานที่กำลังสร้างโซลูชันจริง รับมือกับปัญหาจริง ยิ่งไปกว่านั้น แอฟริกา, ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีแนวโน้มเติบโตคล้ายกัน ขณะที่ ‘ศูนย์กลางดั้งเดิมอย่างอเมริกาเหนือและยุโรป’ เริ่มชะลอตัวลง แสดงให้เห็นว่าแก่นกลางของ *นวัตกรรมเว็บ3* กำลังย้ายฐานออกจากโลกตะวันตก

หนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญคือ *เป๊ปซี่โค (PepsiCo)* ในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ ซึ่งได้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อ ‘ตรวจสอบระบบกระจายสินค้าแบบไม่เป็นทางการ’ เนื่องจากพื้นที่นี้มี ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ที่ไม่พร้อม จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพและโปร่งใส’ โดยโครงการชื่อ Lov.cash สามารถช่วยให้ร้านค้าปลีกและค้าส่งทำ ‘ธุรกรรมแบบไร้เงินสด’ ลดความสูญเสียจากการจัดส่งและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้า ที่น่าสนใจคือ ไม่มีการสร้างโทเคนหรือ NFT ใด ๆ ทั้งสิ้น บล็อกเชนถูกรับใช้ในฐานะ ‘เครื่องมือ’ แก้ปัญหาจริง

ความคิดเห็น: ตัวอย่างนี้สะท้อนว่า เทคโนโลยีคริปโตไม่ได้เป็นแค่ ‘ของเล่น’ สำหรับตลาดการเงิน หรือพื้นที่ทดลองนวัตกรรม แต่มี ‘คุณค่าที่จับต้องได้’ ในพื้นที่ที่ต้องการมันอย่างแท้จริง

แม้ความเคลื่อนไหวระดับนโยบายและตลาดทุนของสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่องานพัฒนาในระยะยาว แต่ ‘ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง’ กำลังเกิดขึ้นในประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่เหล่านี้ ยิ่งอุตสาหกรรมคริปโตยังคงละเลยผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ซึ่งซ่อนอยู่หลังแสงไฟของข่าวใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะพลาดโอกาสสำคัญในการสร้าง *เว็บ3 ที่ครอบคลุมทั้งโลก*

สิ่งที่ควรโฟกัสในตอนนี้คือ ‘ชุมชน’ ซึ่งกำลังนำเอาบล็อกเชนไปใช้งานจริงเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เพราะการเข้าใจและร่วมพัฒนาไปกับพวกเขาเท่านั้น ที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้มีความหมายจริงในระดับโลก