วิตาลิกเสนอเปลี่ยน EVM เป็น RISC-V เพิ่มประสิทธิภาพอีเธอเรียม(ETH) สูงสุด 100 เท่า

วิตาลิก บูเทอริน ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม(ETH) เสนอแนวคิดในการเปลี่ยนเครื่องเสมือนของอีเธอเรียมหรือ EVM มาเป็นระบบชุดคำสั่งแบบ RISC-V ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานใหม่ของสมาร์ตคอนแทรกต์ในอนาคต โดยเขาระบุว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเลเยอร์การประมวลผลของเครือข่าย และช่วยแก้ปัญหาเรื่อง *การขยายตัวในระยะยาว*

ในโพสต์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 เมษายนบนฟอรัม Ethereum Magicians บูเทอรินกล่าวว่า "แม้งานเกี่ยวกับเชนบีคอนจะช่วยให้เลเยอร์ฉันทามติของอีเธอเรียมเรียบง่ายยิ่งขึ้น แต่สำหรับเลเยอร์การประมวลผล เราอาจต้องพึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นกัน"

ปัจจุบันโค้ดที่พัฒนาโดยใช้ภาษาอย่าง Solidity จะถูกแปลงเป็นชุดคำสั่ง EVM และจากนั้นจึงปรับให้เข้ากับเครื่องมือ Zero-Knowledge (ZK) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเพิ่มขั้นตอนที่อาจไม่จำเป็น ข้อเสนอของบูเทอรินคือการตัดขั้นตอนนี้ออก และให้เหล่านักพัฒนาเขียนโค้ดตรงไปยัง RISC-V แทน

หากแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง จะสามารถลดรอบการประมวลผลที่จำเป็นในกระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การอัปเดตสถานะ การประมวลผลบล็อก และการถอดรหัสข้อมูล ซึ่งในบางกรณี อาจช่วยเพิ่มความเร็วในการสร้างหลักฐานการทำธุรกรรมได้มากกว่า 100 เท่า ด้วยความเข้ากันได้ที่ดีกว่าระหว่าง RISC-V กับระบบพิสูจน์ตัวตนต่างๆ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเดิมของ EVM

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้อีเธอเรียม สมาร์ตคอนแทรกต์ยังคงทำงานได้ตามปกติ และสัญญาเดิมที่มีอยู่จะสามารถใช้งานร่วมกับสัญญาในรูปแบบใหม่ได้อย่างไม่มีปัญหา

ที่ผ่านมา อีเธอเรียมต้องเผชิญกับ *การใช้งานในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง* โดยตามข้อมูลจาก Santiment พบว่า ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยต่อธุรกรรมในเดือนเมษายนอยู่ที่เพียง 0.16 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 เหตุผลหลักมาจากผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้โซลูชันเลเยอร์ 2 ที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า

ในขณะเดียวกัน อีเธอเรียมยังเผชิญแรงกดดันจากบล็อกเชนหน้าใหม่อย่างโซลานา(SOL) และซุย(SUI) ที่ให้ประสิทธิภาพที่เร็วกว่าและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า แม้ว่าการอัปเกรด Dencun จะเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา และการอัปเกรด Pectra มีกำหนดในวันที่ 7 พฤษภาคม แต่ข้อความจากบูเทอรินสะท้อนให้เห็นว่า อีเธอเรียมอาจจำเป็นต้องมี ‘การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง’ ที่ลึกกว่านี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตต่อไปในอนาคต