บิตคอยน์(BTC) แข็งแกร่งเหนือหุ้นสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญชี้ยังเร็วเกินสรุปแนวโน้มระยะยาว

บิตคอยน์(BTC) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเหนือระดับตลาดการเงินทั่วไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงระมัดระวังต่อการสรุปว่าแนวโน้มขาขึ้นในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อไปในระยะยาว

เมื่อวันที่ 23 ตามรายงานของ Cointelegraph บริษัทบิตไฟเนกซ์(Bitfinex) เปิดเผยรายงานแนวโน้มตลาดล่าสุด โดยระบุว่า หากบิตคอยน์สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้ต่อเนื่อง แม้จะมีการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คำแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ก็อาจสะท้อนถึง ‘การเปลี่ยนแนวโน้มที่มั่นคง’ แทนที่จะเป็นเพียง ‘ความคลาดเคลื่อนชั่วคราว’ อย่างไรก็ตาม บิตไฟเนกซ์ยังย้ำว่า การคาดการณ์นี้ยังไม่ถือเป็นข้อสรุปที่ชัดเจน

รายงานเดียวกันชี้ว่า แม้บิตคอยน์จะแสดงแนวโน้มแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงนี้ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็น ‘การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง’ เพราะก่อนหน้านี้ บิตคอยน์เคยแสดงพฤติกรรมที่เป็นอิสระจากตลาดหุ้นชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันในที่สุด

ข้อมูลจาก Cointelegraph ระบุว่า ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา บิตคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7.68% ในขณะที่ดัชนี S&P500 และ นาสแด็ก ลดลงราว 6.79% และ 8.14% ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็น ‘ความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน’ ของบิตคอยน์ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มนักวิเคราะห์บางรายมองว่าสิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของบิตคอยน์ในฐานะ 'สินทรัพย์ปลอดภัย' คล้ายกับทองคำ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหลายด้านที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของแนวโน้มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ยสูงที่ยังคงอยู่ การเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงนโยบายการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลจากรัฐบาลสหรัฐ แม้ว่าทรัมป์จะยังคงแสดงท่าทีสนับสนุนคริปโตอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ แต่จนกว่าจะมี ‘การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย’ ที่จับต้องได้ ผู้เล่นในตลาดจึงยังไม่สามารถด่วนสรุปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้ในขณะนี้

*ความคิดเห็น*: การเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ในช่วงนี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเปลี่ยนบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลในระบบการเงินโลก แต่ตลาดยังคงต้องการ 'สัญญาณยืนยัน' ที่ชัดเจนมากกว่านี้เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนี้จะยั่งยืนในระยะยาว