Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

ตลาดคริปโตขยายตัวแรง แต่ ‘ความปลอดภัย’ กลายเป็นประเด็นท้าทาย

Tue, 11 Feb 2025, 13:15 pm UTC

ตลาดคริปโตขยายตัวแรง แต่ ‘ความปลอดภัย’ กลายเป็นประเด็นท้าทาย / Tokenpost

ตลาดคริปโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปัญหาด้าน ‘ความปลอดภัย’ ถูกจับตามองมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ใช้รายใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความท้าทายสำคัญคือ เทคโนโลยียืนยันตัวตนและระบบรักษาความปลอดภัยจะสามารถตามทันหรือไม่ แม้ว่าจะมีการนำ ‘ปัญญาประดิษฐ์(AI)’, ‘การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ’ และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งาน แต่หลายฝ่ายยังคงกังวลว่าผู้ใช้กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจาก ‘กลโกง’ และการถูก ‘แฮก’ มากขึ้น

ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2024 ปริมาณการใช้งานแพลตฟอร์มคริปโตเพิ่มขึ้น ‘20%’ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก ‘การลงทุนของสถาบัน’ ในสหรัฐฯ ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากผลสำรวจพบว่า ประชากรโลก ‘10.2%’ ลงทุนในคริปโต และเฉลี่ยทุกๆ 100 คน จะมี 1 คนที่ตกเป็นเหยื่อของ ‘อาชญากรรมทางการเงิน’ หากคำนวณตามจำนวนผู้ถือครองทั้งหมด จะพบว่ามีนักลงทุนกว่า ‘8 ล้านคน’ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของ ‘อาชญากรไซเบอร์’

นอกจากนี้ การหลอกลวงในรูปแบบใหม่ เช่น การสร้าง ‘มีมคอยน์’ ปลอมที่ใช้ชื่อแบรนด์ ‘ทรัมป์’ เป็นเครื่องมือล่อลวงนักลงทุน ยิ่งทำให้ ‘ความปลอดภัย’ เป็นประเด็นสำคัญ ท่ามกลางกระแสสนับสนุนคริปโตในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น หากระบบความปลอดภัยไม่สามารถพัฒนาให้ทันกับ ‘อัตราการเติบโต’ อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำ ‘AI’ มาช่วยตรวจสอบเอกสารและยืนยันตัวตนสามารถปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียนให้ ‘เร็วขึ้น 46%’ แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจตามมา

‘การปลอมแปลงเอกสาร’ ยังคงเป็นหนึ่งในวิธีโกงที่แพร่หลายที่สุด ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา ‘ระบบตรวจสอบข้อมูลชีวภาพ’ และการยืนยันตัวตนแบบไร้เอกสาร การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบได้ดีขึ้น หลายประเทศที่นำระบบนี้ไปใช้สามารถเพิ่ม ‘อัตราการอนุมัติบัญชี’ ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม มากกว่า ‘70%’ ของอาชญากรรมในตลาดคริปโต เกิดขึ้น ‘หลังจาก’ ผู้ใช้ผ่านกระบวนการสมัครแล้ว ดังนั้น การมุ่งเน้นเฉพาะ KYC (การยืนยันตัวตนเบื้องต้น) คงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมี ‘การติดตามพฤติกรรมผู้ใช้’ อย่างต่อเนื่อง

บริษัทด้านคริปโตเริ่มปรับกลยุทธ์ ‘ความปลอดภัย’ โดยเพิ่มการ ‘ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ’ และ ‘การตอบสนองความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว’ ผ่าน ‘AI’ และ ‘การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก’ โดยเฉพาะใน ‘สหรัฐฯ และแคนาดา’ ที่เริ่มหันมาใช้โซลูชัน ‘ความปลอดภัยอัตโนมัติ’ มากขึ้น เนื่องจากระบบภายในแบบเดิมไม่สามารถรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป

ด้านนโยบาย ‘กฎระเบียบ’ ของแต่ละประเทศก็เริ่มเข้มงวดมากขึ้น แม้ว่า ‘สหรัฐฯ’ ยังคงอยู่ในช่วงของการจัดระเบียบกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ ‘สิงคโปร์, แคนาดา, สหราชอาณาจักร’ และ ‘สหภาพยุโรป(EU)’ ต่างนำ ‘กฎระเบียบ Travel Rule’ มาใช้เพื่อเสริมสร้างมาตรการ ‘ป้องกันการฟอกเงิน(AML)’ ของแพลตฟอร์มคริปโต อย่างไรก็ตาม มีเพียง ‘29%’ ของบริษัทข้ามชาติที่สามารถปฏิบัติตามกฎนี้ได้อย่างสมบูรณ์

ในปี 2024 มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะออกข้อกำหนด ‘KYC’ ที่เข้มข้นขึ้น และมุ่งไปสู่การรวม ‘ฐานข้อมูลระหว่างประเทศ’ เพื่อตรวจสอบข้อมูลตัวตน ซึ่งหมายความว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมคริปโตไม่สามารถพึ่งพากระบวนการตรวจสอบเอกสารแบบเดิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนา ‘โปรโตคอลความปลอดภัยแบบไฮบริด’ ที่รวมระหว่าง ‘ระบบยืนยันตัวตนดั้งเดิม’ กับ ‘โซลูชันดิจิทัลแบบใหม่’

‘กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยแบบหลายชั้นที่ขับเคลื่อนด้วย AI’ รวมถึง ‘การวิเคราะห์พฤติกรรม’ และ ‘เทคโนโลยีตรวจสอบแบบเรียลไทม์’ จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดย ‘MiCA’ หรือกฎระเบียบด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของ ‘สหภาพยุโรป’ ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้าง ‘ความปลอดภัย’ ในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามว่า กฎระเบียบเหล่านี้จะสามารถตามทัน ‘ความซับซ้อนของอาชญากรรมไซเบอร์’ ได้จริงหรือไม่

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1