ริปเปิล(Ripple) ยื่นข้อเสนอ 5,000 ล้านดอลลาร์ซื้อเซอร์เคิล ถูกปฏิเสธ เหตุประเมินต่ำกว่าความจริง

ริปเปิล เสนอขอซื้อเซอร์เคิล(Circle) ที่มูลค่า 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกปฏิเสธ โดยมีรายงานว่า เซอร์เคิลเห็นว่าข้อเสนอนี้ต่ำกว่ามูลค่าตลาดและแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของบริษัทอย่างมาก แม้จะยังไม่มีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติม แต่ริปเปิลยังคงแสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการของเซอร์เคิลต่อไป

เซอร์เคิลคือผู้ออกเหรียญสเตเบิลคอยน์อย่าง USD Coin(USDC) ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 61,600 ล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันราว 6,900 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เหรียญดังกล่าวมีอิทธิพลในตลาด Web3 ระดับโลกในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม โฆษกของเซอร์เคิลให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 24 ว่า “เราไม่ขอแสดงความเห็นต่อข่าวลือในตลาด และเนื่องจากเรายังอยู่ในช่วงเงียบที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ(SEC) เราจึงไม่สามารถให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการเงินของบริษัทได้ แต่เป้าหมายระยะยาวของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า เซอร์เคิลได้ยื่นแบบคำขอเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อ SEC เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(NYSE) ภายใต้ตัวย่อหุ้น CRCL รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า แต่มีกำไรสุทธิและ EBITDA ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทระบุว่า การลดลงของกำไรเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ต้นทุนจากพันธมิตรที่เพิ่มขึ้น การยุติบริการบางประเภท และต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น โดยมีการให้ตัวอย่างว่าค่าใช้จ่ายในการกระจายและการซื้อขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากพันธมิตรหลักอย่างคอยน์เบส โกลบอล(Coinbase Global) ปรับขึ้นค่าธรรมเนียม

ขณะเดียวกัน ริปเปิลเพิ่งเปิดตัว RLUSD ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่ใช้เพื่อสนับสนุนระบบชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยเหรียญ XRP โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนในการใช้งาน แต่ต้องเผชิญการแข่งขันอย่างดุเดือดจากเหรียญสเตเบิลคอยน์เดิมที่ครองตลาดอยู่แล้ว เช่น เทเธอร์(USDT)

นอกจากนี้ RLUSD ยังต้องแข่งขันกับ USD1 ซึ่งเป็นเหรียญคู่แข่งที่ออกโดยบริษัทเวิลด์ ลิเบอร์ตี ไฟแนนเชียล และได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ โดยปัจจุบัน USD1 มีมูลค่าตลาดทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว ความคิดเห็น: ความสนใจของริปเปิลต่อเซอร์เคิลสะท้อนความพยายามในการขยายอิทธิพลในตลาดสเตเบิลคอยน์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการแข่งขันในอนาคต หากการเจรจาครั้งใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง