16 รัฐในสหรัฐฯ เดินหน้าสะสมบิตคอยน์(BTC) และสินทรัพย์ดิจิทัล ท่ามกลางนโยบายสนับสนุนคริปโตของทรัมป์
รัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังดำเนินการสะสม ‘บิตคอยน์’ และสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรอง กลายเป็นแนวโน้มที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางนโยบายสนับสนุนคริปโตของประธานาธิบดีทรัมป์
รัฐอย่างแอริโซนาและยูทาห์ได้ผ่านความเห็นชอบทางกฎหมายในระดับคณะกรรมการแล้ว ก้าวเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมายอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเปิดทางให้รัฐสามารถลงทุนในบิตคอยน์ผ่านกองทุนสาธารณะ โดยมีการเสนอกฎหมายให้จัดสรรงบประมาณสูงสุด 10% สำหรับลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่รัฐอื่นๆ เช่น โอกลาโฮมา, นิวแฮมป์เชียร์ และเพนซิลเวเนีย กำลังผลักดันกฎหมายลักษณะเดียวกัน
ทางด้านรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้จัดตั้ง ‘คณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัล’ เพื่อกำหนดแนวทางนโยบายต่อคริปโตโดยเฉพาะ เดวิด แซคส์ เจ้าหน้าที่ด้านคริปโตของทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ว่า “การพิจารณาแผนสำรองบิตคอยน์เป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาล และเราตั้งเป้าจะจัดทำแผนงานที่ชัดเจนภายใน 6 เดือนข้างหน้า”
แนวคิดที่จะใช้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากสามารถทำหน้าที่เป็น ‘เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ’ และเป็นเกราะป้องกันจากการลดค่าของเงินสกุลหลัก ผู้เชี่ยวชาญในตลาดมองว่าบิตคอยน์ ซึ่งมีอุปทานจำกัด ต่างจากสกุลเงินทั่วไปที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด อาจกลายเป็นเครื่องมือรักษามูลค่าทางการเงินในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยบางประการเกี่ยวกับแนวทางนี้ โดยเฉพาะในประเด็นการนำไปสู่การดำเนินนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกลาง ยูจีน เอปสตีน แห่งบริษัท MoneyCorp กล่าวว่า “มีหลายบริษัทที่เริ่มสะสมบิตคอยน์เอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนจากภาครัฐเพื่อสนับสนุนทิศทางนี้”
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ครอบครองบิตคอยน์ไปแล้วมากกว่า 207,000 BTC จากคดีที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์สินทางอาญา และการกำหนดแนวทางจัดการทรัพย์สินเหล่านี้อาจมีส่วนสำคัญต่อการวางนโยบายบิตคอยน์ในอนาคต รายงานจาก CoinShares ระบุว่า แนวทางของรัฐบาลในการถือครองบิตคอยน์อาจส่งผลกระทบต่อตลาดมากกว่าการอนุมัติ ETF ด้วยซ้ำ
เมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียกระตุ้นให้ประชาชน “อย่าขายบิตคอยน์” ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงจุดยืนสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลของเขา แต่คำถามที่สำคัญคือ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายตามมาหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับกระบวนการเจรจาในสภาคองเกรสและการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต
ความคิดเห็น 0