เครือข่ายพาย(Pi Network) เสี่ยงศูนย์รวมอำนาจ หลังเวียดนามควบคุมโหนดเกือบครึ่ง

เครือข่ายพาย(Pi Network) ซึ่งตั้งใจพัฒนาให้เป็นโครงการแบบกระจายศูนย์ระดับโลก กำลังเผชิญกับ *ความเสี่ยงด้านความเป็นศูนย์กลาง* อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศเวียดนามเข้าควบคุมโหนดเกือบครึ่งหนึ่งของระบบ ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อความยุติธรรมและเสถียรภาพในระยะยาวของโครงการดังกล่าว

ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยว่า เวียดนามดำเนินการโหนดของเครือข่ายพายถึง 154 โหนด จากทั้งหมด 319 โหนดทั่วโลก คิดเป็นประมาณ *48%* ของจำนวนทั้งหมด ขณะที่ในจำนวนโหนดที่ยังคงทำงานอยู่ จำนวน 76 โหนด เวียดนามก็ครอบครองอยู่ถึง 33 โหนด สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเครือข่ายกำลังพึ่งพาประเทศเดียวอย่างมาก และหากมีเหตุการณ์อย่างเช่นการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในเวียดนาม ก็อาจส่งผลเสียหายต่อทั้งเครือข่ายได้

ความกังวลยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาถึง *กฎหมายในเวียดนามที่เข้มงวดต่อคริปโต* ทางการเวียดนามไม่ยอมรับเหรียญพายเป็นสื่อกลางในการชำระเงินอย่างถูกกฎหมาย และเตือนว่าผู้ที่นำไปใช้ซื้อขายอาจถูกปรับระหว่าง 50 ล้านถึง 100 ล้านด่ง (ประมาณ 2-4 ล้านบาท) หรืออาจต้องรับโทษทางอาญาได้

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเวียดนามยังได้เสนอระเบียบใหม่ ที่จะจำกัดให้เฉพาะหน่วยงานได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถถือครองและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลได้ หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบหนักต่อ *นักขุดเหรียญพายและผู้ดำเนินการโหนดในประเทศ* ทันที

ไม่เพียงแค่ปัญหาเชิงภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังพบว่าโครงการมี *ความเป็นศูนย์กลางในเชิงโครงสร้าง* อย่างมากอีกด้วย ตามข้อมูลจาก PiScan มีเหรียญพายมากกว่า 60.7 พันล้านหน่วยจากทั้งหมด 100 พันล้านหน่วย ถูกจัดเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของกลุ่มพัฒนาหลัก คิดเป็นกว่า *60%* ของอุปทานทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้เครือข่ายพายมีเพียง *สองโหนดตรวจสอบ (validation nodes)* ซึ่งทั้งคู่ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของทีมหลักทั้งหมด โครงสร้างลักษณะนี้ขัดกับหลักการของระบบแบบกระจายศูนย์ และทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปแทบไม่มีอำนาจในการควบคุมใดๆ

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ตำรวจนครฮานอยออกมาเตือนว่า กระแสความนิยมของพายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล เริ่มมีการโปรโมตด้วย *“คำสัญญาที่เกินจริง”* ทำให้หลายคนไม่สามารถตระหนักถึงความเสี่ยงที่แท้จริงได้

หากพายต้องการเป็นเครือข่ายที่ขับเคลื่อนโดยผู้ใช้อย่างแท้จริง การ *ลดอิทธิพลจากทีมพัฒนาและภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง* อย่างเร่งด่วน ถือเป็นความจำเป็นในเส้นทางสู่ความยั่งยืนและความโปร่งใส