ในตลาดคริปโต เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขายตื่น’ คำหนึ่งที่มักถูกพูดถึงควบคู่กันคือ ‘การยอมจำนน’ หรือ ‘capitulation’ ซึ่งมักจะปรากฏขึ้นในช่วงที่ราคาทรุดตัวลงอย่างรุนแรงและบรรยากาศความไม่มั่นใจปกคลุมตลาด โดยการยอมจำนนไม่เพียงเป็นคำเตือนแต่ยังบ่งชี้สภาพจิตใจของนักลงทุนในช่วงขาลงที่รุนแรง แล้ว ‘การยอมจำนน’ ในโลกคริปโตหมายถึงอะไร และทำไมทุกฝ่ายในตลาดถึงต้องให้ความสำคัญ?
‘การยอมจำนน’ ในตลาดคริปโตหมายถึงช่วงเวลาที่นักลงทุนจำนวนมากหมดแรง หรือหมดศรัทธา แล้วตัดสินใจเทขายสินทรัพย์พร้อมกันอย่างสิ้นหวัง โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเกิดภาวะ ‘ตลาดหมีกะทันหัน’ ซึ่งเร่งให้เกิดแรงเทขาย โดยเฉพาะนักลงทุนระยะสั้นหรือผู้ที่ใช้เลเวอเรจสูงทำให้เกิดการ ‘บังคับขาย’ ส่งผลให้ราคาทรุดหนักและปริมาณการซื้อขายพุ่งสูง ความตื่นตระหนกกลายเป็นห่วงโซ่ที่ลากตลาดลงลึกยิ่งกว่าเดิม
แม้บรรยากาศเช่นนี้จะดูรุนแรงและสับสน แต่ในทางกลับกัน การยอมจำนนกลับสามารถกลายเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่บ่งชี้ว่าตลาดใกล้แตะ ‘จุดต่ำสุด’ แล้วก็เป็นได้ เนื่องจากเมื่อแรงเทขายส่วนใหญ่ถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว แรงกดดันจากฝั่งขายก็จะค่อย ๆ หายไป นักลงทุนที่ยังอยู่คือผู้ที่เข้าใจและเชื่อมั่นในสินทรัพย์ระยะยาว ตลาดจึงเริ่มเข้าสู่ช่วงสงบ ก่อนเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนที่มีประสบการณ์มักมองช่วงนี้เป็น *โอกาสในการสะสม* มากกว่าจะตกใจขายตามกระแส
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงวิกฤต FTX เมื่อบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงต่ำกว่า 16,000 ดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบหลายปี และมีการบังคับขายมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 หมื่นล้านบาท) ภายในวันเดียว แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน บิตคอยน์กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งและสามารถทำ ‘จุดสูงสุดใหม่’ ที่ 73,000 ดอลลาร์ในต้นปี 2024 ได้สำเร็จ *ความคิดเห็น: ตัวอย่างนี้ตอกย้ำว่า การยอมจำนนอาจเป็นโอกาสมากกว่าความพ่ายแพ้*
แม้จะตรวจจับ ‘ช่วงยอมจำนน’ ได้ยากในขณะเกิดเหตุ แต่ก็มีสัญญาณบางอย่างที่มักจะปรากฏ เช่น ดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear & Greed Index) ที่ตกลงสู่ระดับต่ำสุด เช่น ต่ำกว่า 20 จุด บ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังเผชิญกับความกลัวอย่างสุดขีด ประวัติที่ผ่านมาแสดงว่าเมื่อถึงระดับนี้ บิตคอยน์มักเริ่มฟื้นตัวในไม่ช้า
อีกสัญญาณสำคัญคือราคาคริปโตปรับตัวลงแรงแบบผิดปกติในเวลาอันสั้น เช่น บิตคอยน์ลดลง 10–20% ภายในวันเดียว และอัลต์คอยน์ร่วงมากกว่านั้น บางครั้งเกิด ‘โดมิโนบังคับขาย’ ที่มีปริมาณการชำระบัญชี (liquidation) ระหว่าง 500 ล้านถึง 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว ซึ่งหมายความว่าการใช้เลเวอเรจเกินตัวได้พังครืนลงในทันที
อัลต์คอยน์มักเป็นเหยื่อหลักในช่วงนี้ เพราะสภาพคล่องน้อยและมีมูลค่าตลาดต่ำ จึงติดอยู่ในวังวนความกลัวได้ง่าย บางเหรียญที่เคยพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจถูกขายจนราคากลับไปสู่จุดเริ่มต้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ในช่วงเดียวกัน บนโซเชียลมีเดียก็มักจะเต็มไปด้วยโพสต์แนว ‘คริปโตจบแล้ว’ ขณะที่สื่อกระแสหลักลงพาดหัวประเภท ‘บิตคอยน์ล่ม’, ‘รัฐบาลเตรียมแบนคริปโต’ ซึ่งล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่าอารมณ์ของตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังอย่างแท้จริง
แล้วหลังจากช่วงนี้ตลาดจะเป็นอย่างไร? จากอดีตที่ผ่านมา ‘ช่วงยอมจำนน’ มักเป็นสัญญาณของจุดต่ำสุดและจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว เมื่อราคานิ่ง นักลงทุนสถาบันหรือรายใหญ่เริ่มกลับเข้ามาเก็บสะสมแบบเงียบ ๆ (เรียกว่า *ช่วงสะสมแบบเงียบ*) สัญญาณบนบล็อกเชนก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงขึ้น เมื่อความหวาดกลัวจางหาย การมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังก็เข้ามาแทน
แต่สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้อง *ควบคุมอารมณ์* ของตัวเองให้ได้ในช่วงนี้ การยอมจำนนคือจุดสูงสุดของจิตวิทยาการขาย นักลงทุนจำนวนมากตัดใจขายจากแรงกดดันทางจิตใจ ไม่ใช่จากเหตุผลที่มีแบบแผน และความสูญเสียจากการขายในช่วงผิดจังหวะนี้อาจมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาวเป็นอย่างมาก
สุดท้ายจึงต้องแยกให้ชัดว่า ‘การยอมจำนน’ แตกต่างจาก ‘การปรับฐาน’ โดยสิ้นเชิง แม้ทั้งสองจะดูคล้ายกันในแง่ที่ราคาตกลง แต่การปรับฐานคือการย่อตัวชั่วคราวของราคาอย่างมีเหตุผล ขณะที่การยอมจำนนเป็น *สภาพการณ์ของความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ทางจิตวิทยา* ซึ่งมีความรุนแรงกว่ามาก และอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของตลาดคริปโตได้ในที่สุด
ความคิดเห็น 0