ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมคริปโตกำลังชี้ชัดว่า *สเตเบิลคอยน์* กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย *คอยน์เบส(Coinbase)* แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านรายงานล่าสุดว่า สเตเบิลคอยน์ได้กลายเป็นหัวใจหลักของระบบการชำระเงินและการดำเนินธุรกิจทางการเงิน ซึ่งมีส่วนผลักดันให้วงการคริปโตเข้าสู่กระแสหลักอย่างรวดเร็ว รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในมุมมองต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่การกำเนิดของบิตคอยน์(BTC) เมื่อ 16 ปีก่อน
จากรายงานภาวะตลาดคริปโตในไตรมาส 2 ปี 2025 คอยน์เบสระบุว่า ความต้องการใช้สเตเบิลคอยน์จากภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีความเข้าใจในเรื่องคริปโตถึง 81% ต้องการนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ความสนใจจากบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ก็เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ 82% ของบริษัทขนาดเล็กเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถช่วยแก้ปัญหาทางการเงินได้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการเติบโตก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ปัจจุบันมีผู้ถือครองสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกมากกว่า 160 ล้านคน และในปี 2024 มีการโอนสเตเบิลคอยน์รวมสูงถึง 27.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 38.3 ตันล้านบาท ซึ่ง ‘มากกว่ายอดธุรกรรมรวมของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด’ ทั้งสองแบรนด์รวมกัน อุปสงค์ทั่วโลกยังเติบโตถึง 54% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอกย้ำบทบาทของสเตเบิลคอยน์ในฐานะหนึ่งในเครื่องมือการชำระเงินที่สำคัญ
ด้านกฎหมายก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน คอยน์เบสชี้ว่า ความพยายามของสภาคองเกรสสหรัฐฯ และข้อเสนออย่างร่าง ‘GENIUS Act’ อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปิดประตูสู่อนาคตของคริปโตอย่างจริงจัง โดยกว่า 90% ของผู้บริหารบริษัทระดับ Fortune 500 เห็นพ้องว่ากฎระเบียบที่ชัดเจนและสอดคล้องกันเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันนวัตกรรมคริปโตในระยะยาว
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว เพราะในเกาหลีใต้ ประธานาธิบดี *อีแจมยอง* ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เสนอ ‘กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลพื้นฐาน’ ทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง เนื้อหาฉบับนี้ระบุชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดการออกสเตเบิลคอยน์ การรับประกันการแลกคืน และกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการออกสเตเบิลคอยน์ในประเทศ ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 500 ล้านวอน (ประมาณ 13.6 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ทวีปยุโรปยังคงเดินหน้าอย่างช้ากว่า ธนาคารกลางยุโรป(ECB) มุ่งเน้นในการพัฒนาเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง(CBDC) มากกว่าจะสนับสนุนสเตเบิลคอยน์จากภาคเอกชน ขณะที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปต่างพยายามคงอำนาจควบคุมทางการเงินเอาไว้ด้วยตนเอง
ในด้านการครองตลาด *เทเธอร์(USDT)* ยังคงถือครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 61% ด้วยมูลค่าหมุนเวียนกว่า 155,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 21.6 ล้านล้านบาท) ขณะที่ *ยูเอสดีซี(USDC)* ของ *เซอร์เคิล(Circle)* มีส่วนแบ่งตลาดที่ 24% ด้วยปริมาณหมุนเวียนประมาณ 61,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.5 ล้านล้านบาท) โดยสองยักษ์ใหญ่นี้ร่วมกันครองตลาดมากกว่า 85% ด้านสเตเบิลคอยน์แบบกระจายศูนย์ อันดับหนึ่งยังคงเป็น *USDS*(ชื่อเดิม DAI) ของ *เมกเกอร์ดาว(MakerDAO)* ด้วยปริมาณหมุนเวียนราว 7,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท)
ในช่วงที่บทบาทของสเตเบิลคอยน์กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็นเพียง ‘เงินดิจิทัลที่เลียนแบบดอลลาร์’ ไปสู่ ‘โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แท้จริง’ การแข่งขันในการกำหนดทิศทางระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลทั่วโลกก็อาจจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ความเคลื่อนไหวนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของคริปโตทั่วโลกในระดับระบบเศรษฐกิจ ‘ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีอีกต่อไป’
ความคิดเห็น 0